แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 32
1
จัดฟันบางนา: การจัดฟันแบบใส ช่วยให้รับประทานอาหารได้อย่างหลากหลายจริงหรือ

ในเรื่องของการรับประทานอาหาร สำหรับผู้ที่เข้ารับการจัดฟันต้องบอกเลยว่าเป็นอีกหนึ่งปัญหาที่มักพบได้บ่อยเลยทีเดียวไม่ว่าจะเป็นการจัดฟันในรูปแบบใดก็มักจะพบปัญหาระหว่างการรับประทานอาหาร ซึ่งการรับประทานอาหารสำหรับผู้ที่เข้ารับการจัดฟันนั้น ถือว่าเป็นอุปสรรคอย่างหนึ่ง เพราะการที่มีเครื่องมือการจัดฟันอยู่ภายในช่องปากจะทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันนั้นรับประทานอาหารได้ลำบากมากยิ่งขึ้น หรือบางทีการที่มีเครื่องมือการจัดฟันอยู่ภายในช่องปากอาจจะทำให้เกิดแผลภายในช่องปากได้ทำให้รู้สึกไม่อยากอาหารหรือเบื่ออาหาร

เนื่องจากปัญหาที่มาจากสุขภาพช่องปากและฟัน แต่ในปัจจุบันนั้น ได้มีนวัตกรรมการจัดฟันรูปแบบใหม่นั่นก็คือ การจัดฟันแบบใส ที่มีจุดเด่นและข้อดีที่แตกต่างจากการจัดฟันในรูปแบบอื่นนั่นก็คือ เครื่องมือการจัดฟันที่มีความใสและสามารถถอดออกได้ ทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันรู้สึกสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นและทำให้รับประทานอาหารได้อร่อยมากกว่าเดิม และหลากหลายมากขึ้น เพราะเนื่องจากเครื่องมือการจัดฟันแบบใสนั้นสามารถถอดออกได้ขณะรับประทานอาหาร ดังนั้น จึงทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟัน สามารถรับประทานอาหารได้อย่างหลากหลาย โดยที่ไม่ต้องคอยกังวลว่าเครื่องมือการจัดฟันจะหลุดออกมาขณะรับประทานอาหาร

ซึ่งหลายคนที่เข้ารับการจัดฟันนั้น มักมีความกังวลในข้อนี้กังวลว่า เครื่องมือจัดฟันอาจจะหลุดขณะรับประทานอาหารและเผลอกลืนเข้าไป ซึ่งอาจทำให้เกิดอันตรายได้และยิ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกด้วยหากเครื่องมือหลุด ซึ่งเครื่องมือการจัดฟันแบบใสจะช่วยให้ผู้เข้ารับการจัดฟันไม่มีปัญหาเกี่ยวกับแผลภายในช่องปาก ซึ่งมีสาเหตุมาจากการเกี่ยวของเครื่องมือการจัดฟัน  นอกจากนี้วิธีการจัดฟันแบบใสยังมีขั้นตอนที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อนมากนัก ถึงแม้ว่าการจัดฟันแบบใสนั้น อาจจะใช้หรือเวลานานกว่าการจัดฟันในรูปแบบอื่น เนื่องจากเครื่องมือการจัดฟันสามารถถอดออกได้และยังเป็นเครื่องมือที่ทำให้การเคลื่อนตัวของฟันนั้นเป็นไปอย่างช้าๆ จึงทำให้ต้องจัดฟันนานกว่าปกติ

แต่ถ้าหากพูดถึงความสะดวกสบายแล้วการจัดฟันแบบใสนั้นสามารถตอบโจทย์คนในยุคปัจจุบันได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว สำหรับจุดเด่นของการจัดฟันแบบใสอย่างที่บอกไปตั้งแต่ต้นว่าช่วยทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันสามารถทานอาหารได้อย่างหลากหลายมากยิ่งขึ้นหลายคนสงสัยว่าจริงหรือไม่ที่การจัดฟันแบบใสนั้นทำให้รับประทานอาหารได้อย่างมีความสุขมากขึ้น  หลายคนคงทราบกันดีอยู่แล้วว่า เครื่องมือการจัดฟันแบบใส มีข้อดีมากกว่าเครื่องมือแบบติดแน่น ก็ตรงที่มันมองแทบไม่เห็น โดยที่คนอื่นจะมองไม่ออกเลยว่าคุณกำลังเข้ารับการจัดฟันอยู่ เพราะเครื่องมือทำจากพลาสติกที่มีความใส จึงทำให้การจัดฟันแบบใสนั้น เหมาะกับผู้เข้ารับการรักษาในวัยผู้ใหญ่ หรือคนที่ไม่ชอบสวมใส่เหล็กจัดฟัน หรือผู้เข้ารับการรักษาในบางอาชีพ ที่ไม่อยากให้คนอื่นเห็นเหล็กจัดฟันในปาก เช่น พิธีกร ดารา นักแสดง ที่ต้องใช้บุคลิกภาพในการทำงาน

ทั้งนี้ เครื่องมือการจัดฟันแบบใส ยังสามารถถอดเข้า-ออกได้ จึงทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันนั้น สามารถรับประทานอาหารได้ตามปกติ และข้อดีอีกอย่างหนึ่งก็คือ เครื่องมือการจัดฟันแบบใสมีความดูแลง่าย ไม่ต้องกลัวเครื่องมือจะหลุดขณะรับประทานอาหาร ผู้เข้ารับการจัดฟัน สามารถแปรงฟันได้ตามปกติ  สะอาดทั่วถึง จึงช่วยลดโอกาสที่ฟันจะผุ ช่วยลดโอกาสการเป็นโรคเหงือก เพราะเครื่องมือสามารถถอดได้ขณะทำความสะอาดช่องปากและฟัน  ทั้งยังให้ความรู้สึกอิสระ เพราะจะใส่หรือถอดมันเมื่อไหร่ก็ได้ ต่างจากเครื่องมือติดแน่น แต่ถ้าให้ดีที่สุดคือ ผู้เข้ารับการจัดฟัน ควรสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันวันละ 20-22 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อผลการรักษาที่ดี ทางคลินิกเราอยากให้ทุกคนหันมาใส่ใจในเรื่องของการดูแลรักษาความสะอาดของสุขภาพช่องปากและฟัน เพื่อที่จะได้มีฟันที่สวยงาม เป็นธรรมชาติและบุคลิกภาพที่ดี

2
บริการด้านอาหาร: โรคลำไส้แปรปรวน ควรเลือกรับประทานอาหารอย่างไรให้เหมาะสม!

การดูแลสุขภาพของเราให้ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ถือว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนจะต้องให้ความสำคัญมาก โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่ยังอยู่ในช่วงของการมีโรคระบาดที่รุนแรง และเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายถึงชีวิต ซึ่งการดูแลตัวเองด้วยการรับประทานอาหาร ถือว่าเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด เพราะปกติแล้ว คนเราจะต้องรับประทานอาหารทุกวัน เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหาร เพื่อเปลี่ยนไปเป็นพลังงานให้สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ดังนั้น อาหารจึงมีส่วนและมีผลกระทต่อการดำรงชีวิตของเรา หากเรารับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ติดต่อกันเป็นเวลานาน หรือมีพฤติกรรมการับประทานอาหารที่ผิดแน่นอนว่า จะทำให้เรามีปัญหาสุขภาพ และถ้าเรามีปัญหาสุขภาพ ก็จะยิ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน ดังนั้น เราควรเลือกรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย

นอกจากนี้ อาหารที่เรารับประทานในแต่ละวันยังมีผลต่อการกำหนดประเภทและความหลากหลายของแบคทีเรียในลำไส้ เพราะฉะนั้น การหลีกเลี่ยงอาหารที่อาจก่อให้เกิดความผิดปกติของระบบย่อยอาหาร ก็จะเป็นเรื่องที่ดี และมีส่วนช่วยลดอาการลำไส้แปรปรวนหรือลำไส้ระคายเคืองได้ ต้องบอกเลยว่า โรคลำไส้แปรปรวน เป็นโรคที่ส่งผลให้การทำงานของลำไส้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างผิดปกติ โดยจะมีอาการแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางรายอาจมีอาการท้องเสีย ท้องผูก หรือมีอาการท้องเสียและท้องผูกสลับกัน ทั้งนี้ อาการต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นอาจขัดขวางการใช้ชีวิตประจำวัน อีกทั้ง โรคนี้มักมีอาการเกิดขึ้นตลอดชีวิต และปัจจุบันยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาด ซึ่งถือว่าเราจะต้องระมัดระวังในการรับประทานอาหารให้มากยิ่งขึ้น

 วันนี้ทางเราจะมาพูดถึงเรื่องของการเลือกรับประทานอาหาร สำหรับคนที่เป็นโรคลำไส้แปรปรวน เพื่อให้การรับประทานอาหารมีความเหมาะสมกับอาการป่วยและยังดีต่อลำไส้อีกด้วย สำหรับอาหารที่เหมาะกับผู้ป่วยลำไส้แปรปรวน คืออาหารที่มีไฟเบอร์สูงอย่าง ผัก ผลไม้และธัญพืชเต็มเมล็ด จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถขับถ่ายได้ดีขึ้นและป้องกันอาการท้องผูก แต่หากผู้ป่วยมีอาการท้องอืดเนื่องจากการรับประทานไฟเบอร์จากธัญพืชมากเกินไป ควรเน้นผักและผลไม้แทน แต่อย่างไรก็ตาม อาหารที่มีไฟเบอร์ต่ำ ผู้ป่วยโรคลำไส้แปรปรวนที่มีอาการท้องเสีย ก็ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์มากเกินไป เพราะอาจส่งผลให้อาการท้องเสียรุนแรงขึ้น ควรรับประทานแอปเปิล เบอร์รีชนิดต่าง ๆ แครอท หรือข้าวโอ๊ต

เนื่องจากอาหารเหล่านี้มีใยอาหารที่ละลายน้ำ เพื่อไม่ให้ปริมาณไฟเบอร์ในร่างกายมากเกินไป ต่อมาคือ อาหารไขมันต่ำ โดยทั่วไปอาหารที่มีไขมันสูงจะมีปริมาณไฟเบอร์ต่ำ ซึ่งเป็นอาหารที่ทำให้อาการของโรคลำไส้แปรปรวนรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอาการท้องเสียและท้องผูกรวมกัน ซึ่งการรับประทานอาหารที่มีไขมันต่ำ จะช่วยให้ลำไส้สามารถทำงานได้ดีขึ้นจึงควรรับประทานเนื้อสัตว์ที่ไม่มีไขมัน ผัก ผลไม้ ธัญพืชและผลิตภัณฑ์นมที่มีไขมันต่ำ สำหรับอาหารที่ควรเลี่ยง ก็ได้แก่ กาแฟ ช็อกโกแลต น้ำอัดลม การรับประทานเส้นใยอาหารชนิดไม่ละลายในน้ำ เช่น แป้งโฮลวีท รำข้าวสาลี ดอกกะหล่ำ และมันฝรั่ง ถั่วชนิดต่าง ๆ อาหารแปรรูปอย่างมันฝรั่งทอดและคุ้กกี้ หมากฝรั่งไม่มีน้ำตาล ของทอด และไม่ควรรับประทานอาหารปริมาณมากในแต่ละมื้อ   

นอกจากนี้ ควรทดลองหลีกเลี่ยงอาหารที่เสี่ยงต่อการกระตุ้นให้เกิดอาการ เริ่มจากการลองงดการรับประทานอาหารแต่ละชนิดเป็นเวลา 12 สัปดาห์และทดลองครั้งละ 1 อย่าง และบันทึกความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก่อนการทดลองกับอาหารชนิดต่อไป ที่สำคัญควรออกกำลังกายและผ่อนคลายร่างกายไปพร้อมกับการปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหาร เช่น เดิน ปั่นจักรยาน และควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร เช่น ควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียดและรับประทานอาหารอย่างไม่เร่งรีบ เพียงเท่านี้ ก็จะสามารถช่วยให้อาการของลำไส้แปรปรวนดีขึ้นได้

 อย่างไรก็ตาม เราทุกคนควรพยายามรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และรับประทานในแต่ละหมู่ให้มีความหลากหลาย  ไม่จำเจอยู่เพียงอาหารไม่กี่ชนิด  เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารต่างๆ ครบในปริมาณที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย ทางเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพที่ดี ซึ่งเน้นย้ำมาตลอดให้ทุกคนเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และที่สำคัญควรจะหมั่นออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บด้วย

3
แค่ฝุ่นจางๆและควัน ก็ทำให้เสี่ยง “โรคปอด” ได้นะ

มลภาวะทางอากาศหลายอย่างเป็นสิ่งที่เราไม่อาจมองเห็นได้ด้วยตา คนส่วนใหญ่จึงละเลยที่จะปกป้องตัวเองจากอันตรายเหล่านี้ จนกระทั่งเกิดผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจและปอด หรืออาจเพราะมลภาวะทางอากาศหลายชนิดไม่มีกลิ่น จึงทำให้เราไม่ทันระวังและรับสารพิษเหล่านี้เข้าไปกับลมหายใจโดยไม่รู้ตัว

ไม่ใช่แค่ PM 2.5 ที่อันตรายกับทางเดินหายใจ

แม้ว่าร่างกายจะออกแบบมาให้จมูกคอยทำหน้าที่เป็นตัวกรองและดักจับเชื้อโรคที่ปะปนในอากาศที่เราหายใจ แต่ฝุ่นละอองขนาดเล็กอย่าง PM 2.5 ก็ยังสามารถเล็ดลอดเข้าไปได้ถึงหลอดลมฝอยขนาดเล็ก และยิ่งหากมีขนาดเล็กกว่า 1 ไมโครเมตร ก็จะสามารถซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้ ส่งผลกระทบต่อสุขภาพและเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งปอด แต่ก็ไม่ใช่แค่ PM 2.5 เท่านั้นที่เราต้องระวัง เพราะในอากาศยังมีมลภาวะอื่นๆ ที่อันตรายไม่แพ้กัน อาทิ

    ฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) ที่เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิง กระบวนการอุตสาหกรรม การบด การโม่ หรือการทําให้เป็นผงจากการก่อสร้าง เมื่อหายใจเข้าไปจะสามารถสะสมในระบบทางเดินหายใจ เป็น อันตรายต่อสุขภาพ
    ก๊าซโอโซน (O3) ที่ทำให้ความสามารถในการทำงานของปอดลดลง เหนื่อยเร็ว โดยเฉพาะในเด็ก คนชรา และคนที่เป็นโรคปอดเรื้อรัง
    ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) เกิดจากการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของเชื้อเพลิง ก๊าซชนิดนี้จะเข้าไปจับกับเม็ดเลือด ทำให้การลำเลียงออกซิเจนไปสู่เซลล์ต่างๆ ของร่างกายลดน้อยลง ส่งผลให้ร่างกายเกิดอาการอ่อนเพลีย และหัวใจทำงานหนักขึ้น
    ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) มีผลต่อระบบการมองเห็นและกระตุ้นให้เกิดอาการหอบหืด หรือโรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ
    ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุตา ผิวหนัง และระบบทางเดินหายใจ หากได้รับเป็นเวลานานๆ จะทำให้เป็นโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังได้

ไม่สูบ แค่สูดควันหรืออยู่ใกล้…ก็เสี่ยง!

กว่า 90 % ของผู้ป่วยโรคปอดโดยเฉพาะมะเร็งปอดในปัจจุบันล้วนมีสาเหตุสำคัญมาจากการสูบบุหรี่ แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือกว่าร้อยละ 30 ของคนที่เป็นมะเร็งปอดคือคนที่ไม่ได้สูบบุหรี่ แต่ได้รับควันบุหรี่จากคนใกล้ชิด และผู้ที่สูบบุหรี่ในที่สาธารณะทั่วไป เพราะในบุหรี่ 1 มวนมีสารพิษกว่า 60 ชนิดที่เป็นอันตรายกับร่างกาย และสารพิษเหล่านั้นยังสามารถตกค้างอยู่ในพื้นที่ที่เคยมีคนสูบบุหรี่ได้นานถึง 6 เดือน ไม่จะไม่มีควันแล้วก็ตาม ดังนั้นแม้จะไม่สูบหรี่ก็มีโอกาสเสี่ยงโรคถุงลมปอดโป่งพอง รวมถึงเป็นสาเหตุของอาการ
เหนื่อยหอบตลอดชีวิต เพราะร่างกายไม่สามารถซ่อมแซมเนื้อปอดที่ถูกทำลายจากบุหรี่ได้

ไม่แสดงอาการฉับพลัน...แต่ก่อให้เกิดโรคร้ายแรง

สำหรับผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด หรือโรคทางเดินหายใจ การสูดฝุ่นละอองที่เป็นพิษอาจจะแสดงผลในทันที แต่สำหรับบางคนที่สุขภาพร่างกายแข็งแรง การสูดฝุ่นละอองอาจไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงแบบเฉียบพลันทันที แต่จะไปสมสะอยู่ในอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ก่อให้เกิดโรคหัวใจ โรคหลอดเลือด โรคทางสมอง และโรคมะเร็งได้ในระยะยาว

ผิดปกติแบบนี้ พบแพทย์ทันที ก่อน “ปอด” พัง

โดยธรรมชาติแล้วปอดมักจะไม่แสดงอาการผิดปกติในระยะเริ่มต้น ทุกคนจึงควรหมั่นสังเกตตัวเอง หากมีอาการไอเรื้อรัง ไอเป็นเลือด ไอรักษาไม่หาย หอบเหนื่อย แน่นเจ็บชายโครง เจ็บหน้าอก หายใจแล้วเจ็บ อ่อนเพลีย น้ำหนักลด มีไข้ ควรรีบมาพบแพทย์ทันที เพราะหากปล่อยทิ้งไว้ ปอดของเราอาจถูกโรคร้ายทำลาย จนไม่อาจฟื้นฟูกลับมาได้ดังเดิม “หมั่นตรวจสุขภาพปอดประจำปี ไม่ต้องมีอาการก็ตรวจได้”

4
money expo 2024: สินเชื่อ Happy Life ปี 2567-ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (GHB)
ดอกเบี้ยต่อปีไม่เกิน 1.950 - 6.545%

สินเชื่อ Happy Life ปี 2567-ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (GHB)
เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคาร หรือห้องชุด
เพื่อเพื่อปลูกสร้างอาคาร หรือซื้อที่ดินพร้อมปลูกสร้างอาคาร
เพื่อต่อเติม หรือขยาย / ซ่อมแซมอาคาร
เพื่อไถ่ถอนจำนองที่ดินพร้อมอาคาร หรือห้องชุด จากสถาบันการเงินอื่น
เพื่อไถ่ถอนจำนองที่ดินเปล่าจากสถาบันการเงินอื่นพร้อมปลูกสร้างอาคาร
เพื่อเพื่อไถ่ถอนจำนองที่ดินพร้อมอาคารจากสถาบันการเงินอื่น และปลูกสร้าง หรือต่อเติม / ขยาย / ซ่อมแซมอาคาร
เพื่อชำระหนี้เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย พร้อมกับวัตถุประสงค์การขอกู้ตามข้อ (4) (5) และ (6) ของผลิตภัณฑ์นี้เท่านั้น
เพื่อชำระเบี้ยประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA) พร้อมกับการขอกู้ในวัตถุประสงค์หลักของผลิตภัณฑ์นี้เท่านั้น

รายละเอียดสินเชื่อ
   สถาบันทางการเงิน         ธนาคารอาคารสงเคราะห์
   ชื่อสินเชื่อ                   สินเชื่อ Happy Life ปี 2567
   ประเภทสินเชื่อ             สินเชื่อเงินสดเบิกทั้งจำนวน
   วัตถุประสงค์สินเชื่อ        สินเชื่อเพื่อการโอนหนี้-Refinance, สินเชื่ออเนกประสงค์
   ลักษณะหลักประกัน       สินเชื่อหลักทรัพย์ค้ำประกัน

   รายละเอียดหลักประกัน
สำเนาสัญญาจะซื้อจะขาย / สัญญาวางมัดจำ
สำเนาหนังสือสัญญาขายที่ดินฉบับกรมที่ดิน
ใบอนุญาตปลูกสร้าง / ต่อเติม
แบบแปลน
ใบประมาณการปลูกสร้าง / สัญญาว่าจ้างก่อสร้าง
สำเนาสัญญากู้เงิน / สำเนาสัญญาจ้างจำนอง / บันทึกต่อท้าย (ถ้ามี)
ใบเสร็จประวัติการผ่อนชำระย้อนหลัง 12 เดือน
สำเนาโฉนดที่ดิน / นส.3ก / หนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด อช.2 ทุกหน้า

   ผู้มีสิทธิ์กู้            ผู้มีรายได้ประจำทุกประเภท
   คุณสมบัติผู้กู้        ลูกค้ารายย่อยทั่วไป
   วงเงินกู้
   ระยะเวลากู้          ไม่น้อยกว่า 3 ปี และไม่เกิน 40 ปี อายุผู้กู้รวมกับจำนวนปีที่ขอกู้ต้องไม่เกิน 70 ปี
   วิธีการคิดดอกเบี้ย   อัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก

   อัตราดอกเบี้ย
ผู้กู้                  จำนวนเงินกู้   ดอกเบี้ยรวมค่าธรรมเนียมต่อปี
ผู้กู้ทุกประเภท   ทุกจำนวน   1.950 - 6.545 %

   รายละเอียดอัตราดอกเบี้ย
อัตราดอกเบี้ย

ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.95% ต่อปี
ปีที่ 2 - 3 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ต่อปี
ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญา
- กรณีลูกค้าสวัสดิการ MRR-1.00% ต่อปี
- กรณีลูกค้ารายย่อย MRR-0.50% ต่อปี
- กรณีกู้ชำระหนี้ MRR ต่อปี

อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา (EIR)

กรณีลูกค้าสวัสดิการ 4.82%
กรณีลูกค้ารายย่อย 5.13%
กรณีกู้ชำระหนี้ 5.45%

   หมายเหตุอัตราดอกเบี้ย      อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงตามจำนวนเงินกู้ อาชีพและเงินเดือนของผู้กู้
   ดอกเบี้ยผิดนัด                ค่าธรรมเนียม

   ค่าธรรมเนียมจัดการเงินกู้
   ค่าธรรมเนียมเบิกถอน        โปรดสอบถามผู้ให้บริการสินเชื่อ
   ค่าการทวงหนี้                โปรดสอบถามผู้ให้บริการสินเชื่อ
   ค่าอากรแสตมป์              โปรดสอบถามผู้ให้บริการสินเชื่อ
   ค่าธรรมเนียมอื่นๆที่สำคัญ   การชำระคืน
   ยอดชำระขั้นต่ำ              โปรดสอบถามผู้ให้บริการสินเชื่อ
   สิทธิชำระเกินค่างวด        โปรดสอบถามผู้ให้บริการสินเชื่อ
   สิทธิชำระคืนก่อนกำหนด   ไม่มี

5
มายืดอายุดอกไม้ด้วยวิธีเก็บดอกไม้สด ดอกบัวอบแห้ง สุดง่าย ใช้งานได้จริง

หากคุณอยากแต่งบ้านด้วยดอกไม้สด คุณควรมีทริควิธีเก็บดอกไม้สด เพราะถ้าคุณแค่นำดอกไม้ใส่แจกันแล้วไปตั้ง ไม่กี่วันก็ต้องเอาไปทิ้งแล้วจัดดอกไม้ชุดใหม่มาใส่แทน ใช้ทั้งเวลาและเงิน จะตัดปัญหาด้วยดอกไม้ปลอม ก็ดูไม่สวยงามและไม่มีกลิ่นหอมเหมือนของจริง เชื่อเราเถอะ ว่าปัญหานี้มีทางออก

ทำไมดอกไม้เหี่ยว

เมื่อเราตัดดอกไม้ออกมาจากต้น ก็เท่ากับเราทำให้ดอกไม้ขาดน้ำและสารอาหารที่ปกติแล้วรากของต้นไม้จะดูดขึ้นมาจากดินและลำเลียงผ่านท่อไปยังส่วนต่างๆ เซลล์ของดอกไม้จึงแห้ง อ่อนตัว และไม่เต่งตึง ทำให้ดอกไม้เหี่ยวเฉาในที่สุด

แต่ยังไม่หมดแค่นั้น แบคทีเรียมักเจริญเติบโตบนผิวของก้านดอกไม้ตรงจุดที่ถูกตัด ทำให้บริเวณก้านดอกไม้และเซลล์ข้างในเน่าจนไม่สามารถส่งน้ำไปยังดอกไม้ได้ ก้านที่เน่าและแช่อยู่ในน้ำยังทำให้น้ำเน่าตามไปด้วย

5 วิธีเก็บดอกไม้ให้สดไปนานๆ

การจะทำให้ดอกไม้สดที่ตกแต่งบ้านคงความสวยคู่บ้านคุณไปนานๆ ทุกขั้นตอนมีเคล็ดลับที่คุณอาจคิดไม่ถึง เริ่มตั้งแต่การสรรหาดอกไม้ การจัดดอกไม้ ไปจนถึงการหาที่ตั้งในบ้านคุณ ทุกอย่างล้วนมีผลต่อความคงทนของดอกไม้สดทั้งสิ้น

1. วิธีจัดดอกไม้สดแบบลดความเสียหาย

วิธีจัดดอกไม้สดถือเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ไม่ใช่แค่เอาดอกไม้มาปักๆ ก็เป็นอันเสร็จ ดอกไม้เป็นสิ่งมีชีวิตที่บอบบาง จึงต้องทะนุถนอมเพื่อไม่ให้บอบช้ำ

ทำความรู้จักดอกไม้

การเลือกดอกไม้มาจัดแจกันหรือตกแต่งบ้าน คุณต้องดูความสวยงามโดยรวมและความเข้ากันของดอกไม้กับพื้นที่ วิธีจัดดอกไม้สดจึงต้องเลือกขนาดและลักษณะของดอกไม้ เช่น ถ้าพื้นที่เต็มไปด้วยสิ่งของวางเต็ม เลือกดอกไม้เดี่ยวจะเหมาะกว่าช่อ สีก็เป็นเรื่องที่ต้องนึกถึงว่าคุณอยากให้กลมกลืนหรือตัดกับสีผนังและเฟอร์นิเจอร์

คุณควรเลือกดอกไม้ให้เหมาะกับสภาพแวดล้อม และต้องดูว่ามีใครในบ้านมีอาการแพ้เกสรดอกไม้หรือไม่ ดอกไม้บางชนิดทนความร้อนไม่ได้อย่างเช่นทิวลิป บางชนิดมีเกสรที่ร่วงหล่นติดเฟอร์นิเจอร์หรือเสื้อผ้าอย่างดอกลิลลี่ บางชนิดชอบมีผึ้งมาตอมอย่างดอกลาเวนเดอร์หรือทานตะวัน และบางชนิดมีคุณสมบัติพิเศษ เช่น ดอกเจอเรเ นี่ยมช่วยกันยุง ดอกกล้วยไม้ฟอกอากาศ

ดอกไม้ที่หลายๆ คนเลือกใช้คือดอกกุหลาบ เพราะค่อนข้างทนและมีสีสันให้เลือกมากมาย โดยวิธีเก็บดอกกุหลาบให้คงทนต้องเลือกดอกกุหลาบที่ดี ปราศจากแม ลงกัดแทะ กลีบยังไม่ม้วนงอ และลักษณะดอกที่ยังมีความแน่นและตูมอยู่

ตัดดอกไม้ต้องทำอย่างไร

ก่อนอื่นเลย คุณต้องมีกรรไกรตัดกิ่งที่คม โดยให้คุณตัดก้านดอกไม้เป็นแนวเฉียงประมาณ 45 องศา เพื่อเพิ่มพื้นผิวในการดูดน้ำ เทคนิคคือคุณควรตัดให้ขาดในครั้งเดียวและไม่ตัดย้ำๆ เพราะหากเ นื้อเยื่อบริเวณก้านที่โดนตัดเกิดความเสียหาย ก็จะเป็นอุปสรรคต่อการดูดน้ำเมื่อนำไปปักแจกัน

เมื่อก้านดอกไม้สัมผัสอากาศ เนื้อเยื่อบริเวณก้านที่เป็นรอยตัดจะปิด เพื่อป้องกันการสูญเสียน้ำและสารอาหาร คุณจึงควรนำดอกไม้จุ่มน้ำทันทีหลังตัด นี่จะเป็นการช่วยลดความเสี่ยงที่แบคทีเรียจะเข้าไปทำลายเนื้อเยื่ออีกด้วย

ถ้าคุณตัดดอกไม้จากต้นไม้ในสวนหลังบ้าน ให้คุณเลือกตัดดอกไม้ตอนเช้าเพราะเป็นช่วงเวลาที่ต้นไม้มีน้ำกักเก็บอยู่ในเนื้อเยื่ออย่างเต็มที่ แถมอากาศที่ไม่ร้อนยังช่วยลดการระเหยของน้ำออกจากดอกไม้ที่ตัดด้วย

คุณควรตัดดอกไม้ทีละดอก เมื่อตัดออกมาแล้วให้จุ่มไว้ในน้ำระหว่างที่ตัดดอกอื่น แต่ถ้าคุณซื้อดอกไม้สดมาจากร้านขายดอกไม้ คุณควรใช้สำลีชุบน้ำให้ชุ่มห่อที่ก้านและห่อด้วยฟอยล์อะลูมิเนียมระหว่างการเดินทาง

จัดแจกันใช้วิธีไหน

แจกันหรือภาชนะอื่นๆ ที่คุณเลือกนำมาใส่ดอกไม้ต้องคัดสรรให้เข้ากับพื้นที่และดอกไม้ที่จะนำมาใส่

– ก้านดอกไม้ควรสูงประมาณ 1.5-2 เท่าของความกว้างของแจกันทรงเตี้ย

– ก้านดอกไม้ควรสูงประมาณ 1.5-2 เท่าของความสูงของแจกันทรงสูง

นอกจากนี้ขนาดก็ต้องสมดุลกับปริมาณดอกไม้และพื้นที่ คุณไม่ควรใส่ดอกไม้สดให้แน่นเกินไปเพราะก้านจะหัก ทำให้ลำเลียงน้ำและสารอาหารจากภาชนะได้ไม่ดี ส่วนสีก็มีความสำคัญในการสร้างบรรยากาศ

เมื่อคุณได้แจกันที่เหมาะสมแล้ว ล้างแจกันของคุณด้วยน้ำยาล้างจานและน้ำอุ่น เพื่อป้องกันการเจริญเติบโตของแบคทีเรียที่จะทำให้ดอกไม้สดเหี่ยวเร็ว ยิ่งถ้าเป็นน้ำยาล้างจานสูตรยับยั้งเชื้อแบคทีเรียด้วยยิ่งดี อย่างเช่นซันไลต์แอนตี้แบค ล้างซ้ำด้วยน้ำอุ่นจนแน่ใจว่าน้ำยาล้างจานหลุดหมด

ก่อนนำดอกไม้มาปักแจกันหรือภาชนะต่างๆ ให้คุณเด็ดใบบนก้านที่จะจุ่มน้ำออกให้หมดเพื่อไม่ให้น้ำเน่า ตัดปลายก้านเป็นแนวเฉียงอีกครั้งเพื่อให้เนื้อเยื่อใหม่ดูดน้ำ โดยให้คุณทำการตัดในน้ำเพื่อไม่ให้เกิดฟองอากาศในเนื้อเยื่อที่จะไปขัดขวางการลำเลียงน้ำ

เมื่อตัดเสร็จให้นำดอกไม้สดไปใส่น้ำในแจกันหรือภาชนะทันที ถ้าจะให้ดี ควรใช้น้ำกรองแทนที่จะใช้น้ำก๊อกเพื่อเลี่ยงสารเคมีอย่างคลอรีน

2. ตั้งดอกไม้ที่ไหน ให้อยู่ยงคงกระพัน

อย่างที่เรารู้กันดีว่าสภาพแวดล้อมมีผลต่อต้นไม้โดยตรง ยิ่งถ้าเป็นดอกไม้ที่ถูกตัดออกมา ยิ่งมีความทนทานน้อยกว่าต้นไม้อีก ความร้อนและความเย็นล้วนกระตุ้นให้ดอกไม้เหี่ยวเฉา คุณจึงควรเลี่ยงที่ที่มีปัจจัยเหล่านี้

– ไม่วางแจกันดอกไม้ในที่ที่ได้รับแสงแดดหรือความร้อนโดยตรง เพราะจะทำ ให้ดอกไม้สูญเสียน้ำ เช่น ริมหน้าต่าง ห้องครัว

– เลี่ยงการวางแจกันดอกไม้ใกล้เครื่องปรับอากาศ พัดลม หรือพัดลมดูดอากาศ เพราะลมจะ เร่งการระเหยของน้ำ

– ไม่ตั้งแจกันดอกไม้ใกล้ทีวี ตู้เย็น และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ ที่ปล่อยความร้อนออกมา

3. ผลไม้กับดอกไม้ สองเราไปด้วยกันไม่ได้

แม้จะดูสวยงามและเหมาะสมที่จะจัดแจกันดอกไม้พร้อมถาดผลไม้ไว้บนโต๊ะ แต่วิธีจัดดอกไม้สดแบบนี้ทำให้ดอกไม้เหี่ยวเร็วขึ้น

ผลไม้ที่กำลังสุกจะผลิตฮอร์โมนพืชในรูปของก๊าซที่เรียกว่าเอทิลีนออกมา เมื่อดอกไม้ได้รับฮอร์โมนนี้ก็จะเร่งให้ดอกไม้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยมีผลกับดอกไม้แต่ละชนิดแตกต่างกันไป เช่น ดอกคาร์เนชั่นจะเหี่ยว ดอกกล้วยไม้จะเปลี่ยนสี

ดังนั้น คุณจึงไม่ควรนำแจกันดอกไม้มาวางใกล้ผลไม้เพื่อยืดอายุไม่ให้ดอกไม้เหี่ยว โดยเฉพาะก ล้วย แอปเปิ้ล มะม่วง และเมล่อน เพราะผลไม้เหล่านี้ผลิตเอทิลีนในปริมาณค่อนข้างสูง ผักก็มีการผลิตเอทีลีนด้วย อย่าง หัวหอม มะเขือเทศ นอกจากนี้ในควันบุหรี่ก็พบว่ามีเอทิลีนเช่นกัน

เชื่อหรือไม่ ถ้าคุณเติมวอดก้าสัก 2-3 หยดลงไปใน น้ำที่แช่ดอกไม้ จะทำให้ดอกไม้ของคุณเหี่ยวช้าลง นี่ก็เพราะวอดก้าจะไปลดการสร้างฮอร์โมนเอทิลินที่เป็นตัวทำให้ดอกไม้เหี่ยว แต่ขอย้ำว่าอย่าใส่เยอะเกินไป เพราะดอกไ ม้ทนแอลกอฮอล์ได้ไม่เกิน 8 ดีกรี ซึ่งวอดก้ามีปริมาณแอลกอฮอล์ถึง 40 ดีกรี จึงต้องทำให้เจือจางมากๆ

4. น้ำตาลและน้ำส้มสายชู คู่หูต่อชีวิตดอกไม้

เติมน้ำตาลและน้ำส้มสายชูใสในสัดส่วนที่เท่ากัน ประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำในภาชนะ น้ำตาลจะเพิ่มสารอาหารให้กับดอกไม้ เพราะดอกไ ม้ในแจกันไม่สามารถสังเคราะห์แสงได้เอง จึงต้องอาศัยอาหารเสริม

น้ำส้มสายชูจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย รวมทั้งปรับสภาพความเป็นกรดด่างของน้ำให้ค่อนไปทางกรด ซึ่งทำให้การลำเลียงน้ำในดอกไม้ดีขึ้น ดอกไม้จึงรับน้ำและสารอาหารได้เร็วขึ้น

ทางเลือกอื่นๆ ของวิธีเก็บดอกไม้สดแทนการใช้น้ำตาลและน้ำส้มสายชู ได้แก่ น้ำอัดลมพวกมะนาวโซดา หรือเครื่องดื่มชูกำลัง หรืออาหารดอกไม้ที่ทำมาเพื่อการเติมในแจกันโดยเฉพาะ ซึ่งคุณสามารถหาซื้อได้ตามร้านดอกไม้

5. บริการหลังการจัด สำคัญไม่แพ้กัน

ไม่ใช่แค่วิธีจัดดอกไม้สดเท่านั้นที่คุณควรใส่ใจเพื่อให้ดอกไม้อยู่กับคุณไปนานๆ แต่การดูแลหลังจากนั้นก็จำเป็นมาก โดยคุณต้องเปลี่ยนน้ำทุกวันหรือเมื่อเห็นว่าน้ำมีลักษณะขุ่นและเหนียว เพราะนั่นหมายถึงแบคทีเรียเริ่มเจริญเติบโตที่ก้านดอกไม้และในน้ำ

ทุก 2-3 วันที่คุณเปลี่ยนน้ำ คุณควรเล็มปลายก้านดอกไม้ โดยตัดในแนวเฉียง 45 องศาและทำ การตัดในน้ำเหมือนตอนคุณจัดแจกันครั้งแรก เพื่อตัดเนื้อเยื่อที่ช้ำออกและเพิ่มประสิทธิภาพในการดูดน้ำด้วยก้านส่วนใหม่

หากคุณพบดอกไม้ที่เหี่ยวก่อนดอกไม้อื่นๆ ในแจกัน โดยเฉพาะถ้าแจกันของคุณมีดอกไม้หลายชนิดปะปนกัน ให้คุณรีบดึงดอกที่เหี่ยวออก เพราะดอกไ ม้นั้นจะปล่อยฮอร์โมนเอทิลีนทำให้ดอกอื่นๆ เหี่ยวตามไปด้วย รวมถึงลดการแย่งน้ำและสารอาหารกับดอกไม้ดอกอื่น

6
จัดฟันบางนา: การจัดฟันแบบใส เสี่ยงทำให้เชื้อโรคเข้าช่องปากได้หรือไม่

การจัดฟันแบบใส ถือว่าเป็นการรักษาทางทันตกรรมที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับรูปร่างของฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาช่วยให้การรักษามีความแม่นยำมากยิ่งขึ้น ผู้เข้ารับการจัดฟัน สามารถทราบผลการรักษาล่วงหน้าได้ ทั้งยังช่วยแก้ไขปัญหาในเรื่องของลักษณะฟันได้เป็นอย่างดี ดังนั้น การจัดฟันแบบจึงได้รับความนิยมมาก เพราะนอกจากจะช่วยแก้ไขปัญหาฟันแล้ว การจัดฟันแบบใส ยังช่วยทำให้การใช้ชีวิตประจำง่ายขึ้นด้วย ทำให้ผู้เข้ารับการจัดฟันมีบุคลิกภาพที่ดีขึ้น ส่งผลให้ฟันของผุ้เข้ารับการรักษาสวยงามได้แม้อยู่ในช่วงของการจัดฟัน พร้อมทั้งยังช่วยทำให้มีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น

ทั้งตอนรับประทานอาหารและในการทำความสะอาดช่องปากและฟัน นอกจากนี้ การจัดฟันแบบใสยังมีข้อจำกัดที่น้อยกว่าการจัดฟันแบบทั่วไป เพราะเครื่องมือการจัดฟันที่สามารถถอดออกได้ ทำให้มีความสะดวกสบาย แต่ผู้เข้ารับการจัดฟันจะต้องสวมใส่เครื่องมือการจัดฟันตามที่ทันตแพทย์แนะนำ เพื่อให้ผลการรักษาเป็นไปตามแผนที่ทันตแพทย์กำหนดไว้ ซึ่งการถอดเข้าออกของเครื่องมือการจัดฟัน หลายคนอาจจะกังวลว่า จะทำให้เราเกิดความเสี่ยงในการนำเชื้อโรคเข้าสู่ช่องปากหรือไม่ วันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงเรื่องของความเสี่ยงที่อาจจะทำให้เชื้อโรคเข้าสุ่ช่องปากของเรา โดยมีเครื่องมือการจัดฟันเป็นพาหะ

 ซึ่งในการจัดฟันแบบใส เราต้องบอกก่อนว่า ถึงแม้เครื่องมือการจัดฟันจะสามารถถอดออกได้ แต่มีความสะดวกในการทำความสะอาดช่องปากและฟัน แต่ในเรื่องของการทำความสะอาดเครื่องมือการจัดฟันทั้งก่อนและหลังการใช้งาน ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน หลายคนที่เคยสวมใส่รีเทนเนอร์อาจจะเคยสัมผัสกับประสบการณ์ที่ต้องถอดรีเทนเนอร์ออกกอ่นขณะรับประทานอาหารหรือขณะแปรงฟัน

ซึ่งก็มีความเสี่ยงที่อาจจะทำให้เราเผลอลืมได้ บางคนใช้วิธีการเก็บรีเทนเนอร์ขณะรับประทานอาหารด้วยการนำกระดาษทิชชู่มาห่อไว้ ซึ่งปัญหาดังกล่าวนี้มักจะพบได้บ่อยมากในกลุ่มผุ้ที่เข้ารับการจัดฟันและสวมใส่รีเทนเนอร์ ต้องอธิบายก่อนว่า การนำเอาทิชชู่มาห่อรีเทนเนอร์ หรือเครื่องมือการัดฟันแบบใสนั้น เป็นวิธีการที่ผิด เพราะทิชชู่ที่เรานำมาห่ออาจจะมีการปนเปื้อนของเชื้อโรค ไม่สะอาด  ซึ่งเสี่ยงต่อการที่เรานำเอาเชื้อโรคเข้าสู่ช่องปากได้ บางคนอาจจะเผลอลืมจนที่ร้านอาหาร นำเอาไปทิ้งในถังขยะ ซึ่งนั่นเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคชั้นดีเลยทีเดียว

ดังนั้น เราควรที่ดูแลรักษาความสะอาดของเครื่องมือการจัดฟันที่ถูกต้อง ควรมีกล่องที่ใช้สำหรับเก็บเครื่องมือการจัดฟัน เพื่อความสะอาดและสุขอนามัยของผู้เข้ารับการจัดฟัน ดังนั้น ผู้ที่เข้ารับการจัดฟันแบบใส จึงไม่ต้องกังวลในเรื่องของการนำเชื้อโรคเข้าสู้ช่องปาก เพียงแค่เราจะต้องรักษาความสะอาดของเครื่องมือการจัดฟัน รวมไปถึงกล่องหรือที่เก็บเครื่องมือการจัดฟันจะต้องมีความสะอาดด้วยเช่นเดียวกัน เพื่อให้ลดความเสี่ยงของการสัมผัสเชื้อโรค

 หากสนใจเข้ารับการจัดฟันแบบใส สามาถติดต่อขอรับคำแนะนำจากทันตแพทย์ของทางคลินิกได้ เพราะทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและยังได้รับการรับรองสูงสุดจาก Invisalign ให้สามารถให้บริการจัดฟันแบบใสได้ ตามมาตรฐานสากล

7
บ้านติดรถไฟฟ้า บี ดิสทริค พหลโยธิน (Be District Paholyothin)
เริ่มต้น 2 ลบ. 

บี ดิสทริค พหลโยธิน (Be District Paholyothin)
ดีไซน์ใหม่ อารมณ์บ้านเดี่ยว สไตล์ Modern ลงตัวทุกประโยคใช้สอย ด้วยขนาดหน้ากว้าง 5.7 เมตร ที่เน้นความคุ้มค่า และการใช้งาน ที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้อย่างลงตัว ทาวน์โฮมทำเลทอง ใจกลางรังสิต ครบครันทั้งฟังก์ชันและดีไซน์ ตอบโจทย์ความต้องการผู้อาศัย พร้อมเข้าอยู่ พื้นที่ส่วนกลางที่เน้นการใช้งานจริง

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ               บี ดิสทริค พหลโยธิน (Be District Paholyothin)
 เจ้าของโครงการ          เอ เบสท์ เอสเตท
 ราคา                      เริ่มต้น 2 ลบ.

 ประเภทบ้าน           ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม (Townhouse Townhome)
 ลักษณะทำเล          บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ          22 ไร่ 2 งาน 82 ตร.ว.
 จำนวนบ้าน            255 หลัง
 แบบบ้านทั้งหมด       3 แบบ
  เนื้อที่บ้าน             โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 พื้นที่ใช้สอย             ตั้งแต่ 110 ถึง 145 ตร.ม.
 จำนวนชั้น             โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 หน้ากว้าง             โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน        4 ห้อง
 จำนวนที่จอดรถ        2 คัน
 สาธารณูปโภค         สวนสาธารณะ, คลับเฮาส์, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., CCTV, Co-working space

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน       ปทุมธานี, คลองหลวง, ธัญบุรี, ลำลูกกา
 ที่ตั้ง       ถนนพหลโยธิน ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี

 ขนส่งสาธารณะ
ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม, สถานี(บางซื่อ - รังสิต)(ม.กรุงเทพ)
ใกล้ถนนสายหลัก (ถนนพหลโยธิน)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
ห้างสรรพสินค้า/ตลาด
Future Park รังสิต
Major รังสิต
Zeer รังสิต
Zpell
บุญถาวร รังสิต
Mega Home รังสิต
ตลาดไท

สถานศึกษา
ม.กรุงเทพ
ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต

สถานพยาบาล
รพ.ภัทร-ธนบุรี
รพ.เปาโล รังสิต


 ปีที่สร้างเสร็จ
โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

8
สุขภาพดี: พลังของการเปรียบเทียบ จับคู่สิ่งตรงข้ามกัน สู่อาหารกลมกล่อม เทคโนโลยีสุขภาพในยุคนี้

พลังของการเปรียบเทียบเป็นเทรนด์การทำอาหารที่กำลังได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน โดยเป็นการนำเอาสิ่งที่ตรงกันข้ามหรือดูเหมือนจะไม่เข้ากัน มาจับคู่กันเพื่อสร้างสรรค์รสชาติใหม่ ๆ ที่น่าสนใจและลงตัว ในโลกปัจจุบันที่ใส่ใจเรื่องสุขภาพ หลักการของความแตกต่างได้ขยายขอบเขตออกไปไกลเกินกว่าขอบเขตของการทำอาหาร ไปสู่ขอบเขตของเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพสมัยใหม่

แนวคิดนี้ซึ่งเกี่ยวข้องกับการจับคู่องค์ประกอบที่ดูเหมือนจะตรงกันข้ามกันเพื่อสร้างความสมดุลและความกลมกลืน ได้รับความนิยมในฐานะวิธีการปรับปรุงทั้งประสบการณ์การรับประทานอาหารและเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพของเรา ต่อไปนี้คือการพิจารณาว่าหลักการที่น่าสนใจนี้กำหนดแนวทางของเราในการดูแลสุขภาพและความสมบูรณ์ของร่างกายอย่างไร

เทรนด์การจับคู่รสชาติ (Flavor Pairings):
จับคู่รสชาติกับวัตถุดิบ: เช่น เนื้อปลาจับคู่กับเลมอน, ทูน่าจับคู่กับอะโวคาโด เป็นต้น
จับคู่วัตถุดิบที่มีรสชาติส่งเสริมกัน: เพื่อลดการปรุงรสเพิ่มเติม
จัดจานให้มีสีและเนื้อสัมผัสที่สวยงามน่าทาน: เพื่อกระตุ้นความอยากอาหารและเพิ่มอรรถรสในการรับประทาน

1. ความสามัคคีในการทำอาหาร: ศิลปะแห่งการผสมผสานความแตกต่าง
ในครัว พลังของความแตกต่างถูกนำมาใช้เพื่อสร้างรสชาติที่ซับซ้อนและน่าพึงพอใจ ทั้งเชฟและคนทำอาหารที่บ้านต่างก็ใช้การผสมผสานรสชาติและเนื้อสัมผัส เช่น หวานและเผ็ด หรือกรุบกรอบและครีม เพื่อยกระดับอาหารของตน ตัวอย่างเช่น สลัดอาจใช้ผักใบเขียวกรอบจับคู่กับชีสครีมและน้ำสลัดรสเปรี้ยว เพื่อสร้างประสบการณ์รสชาติที่สมดุลและน่าพึงพอใจ

แนวคิดนี้ไม่ได้เกี่ยวกับแค่รสชาติเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับคุณค่าทางโภชนาการด้วย การผสมผสานส่วนผสมที่แตกต่างกัน เช่น ผักใบเขียวกับผลไม้และถั่ว สามารถเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการของอาหารได้ เนื้อสัมผัสและรสชาติที่หลากหลายช่วยกระตุ้นต่อมรับรสและสามารถส่งเสริมให้รับประทานอาหารที่หลากหลายและสมดุลมากขึ้น

2. นวัตกรรมทางเทคโนโลยี: การสร้างสมดุลระหว่างคุณสมบัติที่แตกต่างกัน
เทคโนโลยีสุขภาพสมัยใหม่ยังได้รับประโยชน์จากหลักการของความแตกต่าง อุปกรณ์และโซลูชันที่สร้างสรรค์มักผสานรวมคุณสมบัติที่ต่างกันเพื่อให้การติดตามและปรับปรุงสุขภาพอย่างครอบคลุม ตัวอย่างเช่น:

อุปกรณ์เพื่อสุขภาพที่สวมใส่ได้ : สมาร์ทวอทช์และเครื่องติดตามการออกกำลังกายหลายรุ่นผสานเซ็นเซอร์ไฮเทคเข้ากับอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่าย ซึ่งเปรียบเทียบเทคโนโลยีขั้นสูงกับการออกแบบที่เรียบง่าย เพื่อให้การติดตามสุขภาพเข้าถึงได้และมีประสิทธิภาพ

ยิมสมาร์ทโฮม : การจัดวางอุปกรณ์เหล่านี้มักผสมผสานอุปกรณ์ออกกำลังกายแบบดั้งเดิมเข้ากับอินเทอร์เฟซดิจิทัลที่ทันสมัย ​​การผสมผสานการออกกำลังกายกับการฝึกสอนแบบเสมือนจริงและการวิเคราะห์ข้อมูลถือเป็นการผสมผสานระหว่างสิ่งเก่าและสิ่งใหม่ ซึ่งช่วยเสริมสร้างความฟิตโดยรวม

แอปด้านสุขภาพ : แอปที่ติดตามทุกอย่างตั้งแต่การรับประทานอาหารไปจนถึงรูปแบบการนอนหลับ มักจะนำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยละเอียดมาไว้คู่กับอินเทอร์เฟซที่ใช้งานง่ายและใช้งานง่าย การเปรียบเทียบนี้ช่วยให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลด้านสุขภาพได้โดยไม่รู้สึกเครียด

3. เสริมสร้างสุขภาพด้วยคอนทราส
การผสมผสานองค์ประกอบที่แตกต่างกันในเทคโนโลยีด้านสุขภาพนั้นไม่ใช่แค่กระแสเท่านั้น แต่ยังเป็นแนวทางเชิงกลยุทธ์ในการเสริมสร้างสุขภาพโดยรวมอีกด้วย โดยการสร้างสมดุลระหว่างด้านต่างๆ ของสุขภาพ เช่น การออกกำลังกายและการผ่อนคลายจิตใจ การบริโภคสารอาหารและการใช้แคลอรี บุคคลต่างๆ สามารถบรรลุถึงสภาวะความเป็นอยู่ที่ดีที่สอดประสานกันมากขึ้น

ตัวอย่างเช่น โปรแกรมดูแลสุขภาพบางโปรแกรมจะรวมการออกกำลังกายแบบเข้มข้นเข้ากับการฝึกสติ เช่น การทำสมาธิหรือโยคะ การเปรียบเทียบนี้ไม่เพียงแต่ช่วยปรับปรุงสมรรถภาพทางกายเท่านั้น แต่ยังช่วยสนับสนุนสุขภาพจิตอีกด้วย ซึ่งจะช่วยให้มีแนวทางที่รอบด้านสำหรับการดูแลสุขภาพส่วนบุคคล

พลังของความแตกต่างเป็นหลักการสำคัญที่เชื่อมช่องว่างระหว่างศิลปะการทำอาหารและนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ไม่ว่าจะอยู่ในครัวหรือผ่านเทคโนโลยีเพื่อสุขภาพขั้นสูง การจับคู่สิ่งที่ตรงข้ามกันอย่างรอบคอบสามารถนำไปสู่ผลลัพธ์ที่สมดุล กลมกลืน และมีประสิทธิภาพมากขึ้น การนำแนวทางนี้มาใช้ในชีวิตประจำวันและกิจวัตรด้านสุขภาพของเราสามารถช่วยให้เราบรรลุถึงความรู้สึกเป็นอยู่ที่ดีที่บูรณาการและองค์รวมมากขึ้นในยุคปัจจุบัน

9
townhome ไอลีฟ พราวด์ วงแหวน รังสิต - คลอง 4 (I Leaf Proud Wongwaen-Rangsit Klong4)
เริ่มต้น 1.89 ลบ.

ไอลีฟ พราวด์ วงแหวน รังสิต - คลอง 4 (I Leaf Proud Wongwaen-Rangsit Klong4)
พบกับทาวน์โฮมบนทำเลรังสิต-คลอง4 ฟังก์ชั่น 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ จอดรถได้ 2 คัน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก คลับเฮ้าส์ ฟิตเนส สระว่ายน้ำ และสวนส่วนกลาง โครงการตั้งอยู่ใกล้ศูนย์การค้ามาร์เก็ตวิลเลจรังสิต คลอง4 และทางด่วนวงแหวนกาญจนาฯ

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ            ไอลีฟ พราวด์ วงแหวน รังสิต - คลอง 4 (I Leaf Proud Wongwaen-Rangsit Klong4)
 เจ้าของโครงการ    กานดา พร็อพเพอร์ตี้
 ราคา                       เริ่มต้น 1.89 ลบ.

 ประเภทบ้าน          ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม (Townhouse Townhome)
 ลักษณะทำเล        บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ       โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนบ้าน           โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 แบบบ้านทั้งหมด           2 แบบ
  เนื้อที่บ้าน                    โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 พื้นที่ใช้สอย                  ตั้งแต่ 110 ถึง 125 ตร.ม.
 จำนวนชั้น                    2 ชั้น
 หน้ากว้าง                    โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน         4 ห้อง
 จำนวนที่จอดรถ           2 คัน
 สาธารณูปโภค            สวนสาธารณะ, คลับเฮาส์, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., CCTV

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน         ปทุมธานี, คลองหลวง, ธัญบุรี, ลำลูกกา
 ที่ตั้ง        147 หมู่ 4 อำเภอคลองหลวง ปทุมธานี 12120

 ขนส่งสาธารณะ       โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
ตลาดไท
ตลาดรังสิต
ตลาดคลอง 4 เมืองใหม่
ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต
เทสโก้ โลตัส
เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์
เซียร์ รังสิต
ดูโฮม รังสิต
โรงเรียนนานาชาติสยาม
โรงเรียนนนภร
โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต
มหาวิทยาลัยรังสิต
มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
มหาลัยนอร์ทกรุงเทพ
โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติ,
โรงพยาบาลแพทย์รังสิต,
โรงพยาบาลเปาโล-รังสิต,
โรงพยาบาลบางปะกอก-รังสิต 2

 ปีที่สร้างเสร็จ
โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

10
หมอประจำบ้าน: แผลแอฟทัส (Apthous ulcers)

แผลแอฟทัส* เป็นสาเหตุของอาการแผลเปื่อยในปากที่พบได้บ่อยที่สุดในคนทั่วไป

โรคนี้พบได้ในคนทุกวัย พบบ่อยในกลุ่มวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย มักเป็น ๆ หาย ๆ เป็นประจำโดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง นอกจากสร้างความรำคาญ เมื่ออายุมากขึ้นจะเป็นห่างออกไปเรื่อย ๆ บางรายอาจหายขาดเมื่ออายุมาก

*มีชื่อเรียกอื่น เช่น canker sore, ulcerative stomatitis, recurrent aphthous stomatitis ชาวบ้านมักเรียกว่า แผลร้อนใน

สาเหตุ

ยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่าเกิดจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน และอาจมีความสัมพันธ์กับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย (เช่น ภูมิคุ้มกันต่ำ การแพ้สารบางอย่าง การเกิดปฏิกิริยาภูมิต้านตนเองหรือออโตอิมมูน)

พบว่าร้อยละ 40 ของผู้ป่วยที่มีอาการกำเริบบ่อย จะมีประวัติโรคนี้ในครอบครัว สันนิษฐานว่าส่วนหนึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ อีกส่วนหนึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการมีปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมร่วมกัน (เช่น อาหาร สิ่งกระตุ้นให้โรคกำเริบ)

ผู้ป่วยที่เกิดแผลแอฟทัส อาจพบว่ามีสิ่งกระตุ้นให้อาการกำเริบ อาทิ

    ความเครียด เช่น ขณะคร่ำเคร่งกับงาน หรืออ่านหนังสือสอบ อดนอน
    การได้รับบาดเจ็บในช่องปาก เช่น เยื่อบุปากหรือลิ้นถูกกัดหรือถูกแปรงสีฟัน ฟันปลอม หรืออาหารแข็ง ๆ กระทบกระแทก
    การมีประจำเดือน
    การใช้ยาสีฟันหรือน้ำยาบ้วนปากที่เจือปนสารลดแรงตึงผิว (มีคุณสมบัติในการทำความสะอาดและเกิดฟอง) เช่น sodium lauryl sulfate,  sodium lauroyl sarcosinate
    การแพ้อาหาร เช่น แป้งข้าวสาลี ไข่ นมวัว เนยแข็ง กาแฟ โคล่า ช็อกโกแลต อาหารที่มีรสเค็ม รสเผ็ด ของเปรี้ยวหรือผลไม้ที่มีฤทธิ์เป็นกรด (เช่น ส้ม ส้มโอ สับปะรด สตรอเบอร์รี่ มะเขือเทศ เป็นต้น)
    การแพ้แบคทีเรียบางชนิดที่มีอยู่ในช่องปาก
    การใช้ยา เช่น แอสไพริน ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ยารักษาโรคกระดูกพรุน-อะเลนโดรเนต (alendronate)
    ภาวะขาดธาตุเหล็ก สังกะสี กรดโฟลิก หรือวิตามินบี 12
    ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เช่น โรคเอดส์ ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ
    การป่วยเป็นโรคบางชนิด เช่น โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (inflammatory bowel disease/IBD)*
    การเลิกบุหรี่ อาจกระตุ้นให้เกิดแผลแอฟทัสในบางรายที่เลิกบุหรี่ใหม่ ๆ

*โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (inflammatory bowel disease/IBD) ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

โรคนี้พบว่ามีการอักเสบของเยื่อบุลำไส้ ซึ่งเกิดจากปฏิกิริยาภูมิต้านตนเองหรือออโตอิมมูน (autoimmune) ถ้ามีการอักเสบจำกัดอยู่เฉพาะในลำไส้ใหญ่ เรียกว่า "โรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง (ulcerative colitis)" ถ้ามีการอักเสบที่จุดใดจุดหนึ่งหรือหลายจุดของทางเดินอาหารตลอดแนวตั้งแต่ปากจนถึงทวารหนัก เรียกว่า "โรคโครห์น (Crohn’s disease)"

ผู้ป่วยมักมีอาการกำเริบเป็นครั้งคราว เป็น ๆ หาย ๆ อย่างเรื้อรัง ด้วยอาการปวดท้อง ท้องเดิน อุจจาระมีเลือดหรือมูกปน และอาจมีอาการถ่ายเป็นเลือด (เนื่องจากมีแผลที่ลำไส้ ทำให้มีเลือดออก) ซีด (จากการเสียเลือด) มีไข้ เบื่ออาหาร น้ำหนักลดร่วมด้วย

อาการ

อาการที่สำคัญคือ มีแผลเจ็บในช่องปาก ซึ่งอาจพบที่ริมฝีปาก (ด้านใน) กระพุ้งแก้ม ลิ้น (ด้านข้าง/ด้านใต้) เพดานอ่อน ลิ้นไก่ ผนังคอหอย ทอนซิล หรือพื้นปาก (เนื้อเยื่อที่อยู่ใต้ลิ้นและเหงือก) ส่วนใหญ่จะมีเพียงแผลเดียว บางรายอาจมีหลายแผลเกิดขึ้นพร้อมกัน

ในรายที่มีแผลที่บริเวณผนังคอหอย/ทอนซิล จะมีอาการเจ็บคอเพียงจุดเดียวหรือข้างเดียว (ซึ่งผู้ป่วยสามารถระบุตำแหน่งได้) โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะรู้สึกเจ็บมากเวลากลืนหรือพูด ทำให้กลืนหรือพูดลำบาก และอาจมีอาการปวดร้าวไปที่หูข้างเดียวกันเวลากลืน

อาการเจ็บแผลมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน ซึ่งค่อย ๆ เจ็บมากขึ้นทุกวันในช่วง 3-4 วันแรก หลังจากนั้นจะทุเลาลงไปเอง

บางรายอาจพบว่ามีอาการเกิดขึ้นเวลามีสิ่งกระตุ้น (เช่น ความเครียด การอดนอน การมีประจำเดือน การเผลอกัดถูกริมฝีปาก/กระพุ้งแก้ม/ลิ้น หรือถูกแปรงสีฟันกระแทก การใช้ยาสีฟันหรือยาบางชนิด การกินอาหารหรือผลไม้บางชนิด เป็นต้น) หรืออาจอยู่ดี ๆ ก็กำเริบขึ้นโดยไม่ทราบว่ามีอะไรเป็นสิ่งกระตุ้นก็ได้

บางรายอาจมีความรู้สึกแสบร้อน หรือเสียวซ่าในปาก 1-2 วันก่อนมีแผลเกิดขึ้น

ในช่วงที่มีอาการเจ็บแผล จะรู้สึกปวดหรือเจ็บแสบเวลากินอาหารแข็ง ๆ หรืออาหารรสเค็ม เผ็ดหรือเปรี้ยวจัด ถ้าเป็นแผลขนาดใหญ่ อาจเจ็บมากจนกินอาหาร ดื่มน้ำ และพูดได้ลำบาก

หลังมีอาการกำเริบได้ 3-4 วัน อาการจะค่อย ๆ ทุเลาลงและมักจะหายเป็นปกติได้เองใน 1-2 สัปดาห์ เมื่อเว้นไปสักระยะหนึ่ง อาจนานเป็นสัปดาห์ ๆ หรือเป็นเดือน ๆ หรือมากกว่านั้น ก็อาจจะมีอาการกำเริบอีก และมักจะเป็น ๆ หาย ๆ แบบนี้อยู่เรื่อยไป   

บางรายที่เป็นแผลแอฟทัสชนิดรุนแรง อาจมีไข้ อ่อนเพลีย ต่อมน้ำเหลืองที่บริเวณข้างคอหรือใต้คางบวม ซึ่งเป็นอาการที่พบได้น้อยมาก

ภาวะแทรกซ้อน

ไม่มีภาวะแทรกซ้อนหรืออันตรายอะไร นอกจากสร้างความเจ็บปวด กินและพูดลำบากชั่วคราว

สำหรับผู้ที่มีแผลแอฟทัสขนาดใหญ่ อาจเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ซึ่งมีโอกาสพบได้น้อยมาก

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

สิ่งตรวจพบที่สำคัญ คือ แผลในปาก ซึ่งมีหลายลักษณะ* ส่วนใหญ่เป็นแผลแอฟทัสเล็ก

ส่วนน้อยเป็นแผลแอฟทัสใหญ่ หรือแผลแอฟทัสชนิดคล้ายเริม

ในรายที่เป็นรุนแรง อาจตรวจพบไข้ ต่อมน้ำเหลืองที่บริเวณข้างคอหรือใต้คางบวม หรือแผลติดเชื้อแบคทีเรีย

*แผลแอฟทัสมีอยู่ 3 ชนิดได้แก่

1.  แผลแอฟทัสเล็ก (minor aphthous ulcers) ซึ่งพบได้มากกว่าร้อยละ 80 จะเป็นแผลตื้นลักษณะรูปไข่ ขนาด 3-5 มม. (ไม่เกิน 1 ซม.) มีวงสีแดงอยู่โดยรอบ ขอบแผลอาจบวมเล็กน้อย พื้นแผลมีสีขาวหรือเหลือง และกลายเป็นสีเทาเมื่อใกล้หาย มักพบที่บริเวณริมฝีปาก (ด้านใน) กระพุ้งแก้ม ลิ้น (ด้านข้างและด้านใต้) เพดานอ่อน ลิ้นไก่ ผนังคอหอย ทอนซิล หรือพื้นปาก (เนื้อเยื่อที่อยู่ใต้ลิ้นและเหงือก) มักไม่พบที่เหงือก เพดานแข็ง และลิ้น (ด้านบน) อาจเป็นเพียงแผลเดียว หรือหลายแผล (2-5 แผล) พร้อมกัน มีอาการเจ็บปวดไม่รุนแรง และหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยไม่เป็นแผลเป็น อาจกำเริบได้ทุก 1-4 เดือน

2. แผลแอฟทัสใหญ่ (major aphthous ulcers) พบได้ประมาณร้อยละ 10-15 มีลักษณะคล้ายกับแผลแอฟทัสเล็ก แต่แผลมีลักษณะลึกกว่า มีขนาดมากกว่า 1 ซม.ขึ้นไป ขอบแผลบวม และมีอาการเจ็บปวดรุนแรงกว่า (มักจะรู้สึกเจ็บมากเวลากินอาหารหรือดื่มน้ำ ถ้าขึ้นที่เพดานอ่อน จะรู้สึกเจ็บมากเวลากลืน) แผลมีลักษณะรูปวงกลม อาจขึ้นเพียงแผลเดียว หรือเป็น 2 แผลคู่กัน นอกจากพบในตำแหน่งเดียวกับแผลแอฟทัสเล็กแล้ว ยังอาจพบที่เพดานแข็งและลิ้น (ด้านบน) ได้อีกด้วย แผลมักหายช้า (ใช้เวลาประมาณ 2-6 สัปดาห์) และเป็นแผลเป็น อาจกำเริบได้บ่อยมาก บางครั้งอาจพบในผู้ป่วยเอดส์

3. แผลแอฟทัสชนิดคล้ายเริม (herpetiform ulceration) ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการติดเชื้อเริม พบได้ประมาณร้อยละ 5-10 จะพบในกลุ่มคนที่มีอายุมากกว่ากลุ่มคนที่เป็นแผลแอฟทัส 2 ชนิดข้างต้น พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย แรกเริ่มจะขึ้นเป็นตุ่มใสเล็ก (1-2 มม.) นับเป็น 10-100 ตุ่ม แล้วแตกแผ่รวมเป็นแผลเดียวขนาดใหญ่ (คล้ายแผลแอฟทัสใหญ่) ขอบแผลไม่เรียบ มีอาการเจ็บปวดค่อนข้างรุนแรง พบในตำแหน่งต่าง ๆ แบบเดียวกับแผลแอฟทัสใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ข้างลิ้นหรือใต้ลิ้นมักพบได้บ่อย แผลหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ โดยไม่เป็นแผลเป็น

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

1. แนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วย ในการดูแลตนเอง และการป้องกันไม่ให้แผลกำเริบบ่อย ในรายที่มีอาการปวดมากให้ยาบรรเทาปวด เช่น พาราเซตามอล และแพทย์อาจพิจารณาใช้ยาชนิดใดชนิดหนึ่งต่อไปนี้ ป้ายแผลวันละ 2-4 ครั้ง จนกว่าจะทุเลา

    ครีมสเตียรอยด์ชนิดป้ายปาก เช่น ครีมป้ายปากไตรแอมซิโนโลนอะเซโทไนด์ (บรรเทาปวดและช่วยให้แผลหายเร็วขึ้น)
    ยาชา เช่น เจลลิโดเคน (lidocaine) ชนิด 2% (บรรเทาปวด)

2. ในรายที่ให้ดูแลรักษาข้างต้นไม่ได้ผล มีอาการรุนแรง แผลไม่หายภายใน 2 สัปดาห์ เป็น ๆ หาย ๆ บ่อย หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆร่วมด้วย (เช่น ซีดหรือโลหิตจาง ปวดท้องบ่อย ท้องเดินเรื้อรัง มีไข้เรื้อรัง น้ำหนักลดฮวบ) แพทย์จะทำการตรวจหาสาเหตุเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด ใช้กล้องส่องตรวจทางเดินอาหาร ตรวจชิ้นเนื้อ (โดยตัดเนื้อเยื่อจากแผลไปส่งตรวจ) เป็นต้น ให้การรักษาตามสาเหตุและความรุนแรง เช่น ให้ยาปฏิชีวนะในรายที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน, ให้ยาบำรุงโลหิตในรายที่มีโลหิตจางจากภาวะขาดเหล็ก, ให้กรดโฟลิกหรือวิตามินบี 12 หรือสังกะสีในรายที่ขาด, รักษาโรคที่ตรวจพบ (เช่น เอดส์ โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง) เป็นต้น

หากไม่มีภาวะผิดปกติอย่างอื่นร่วมด้วย และให้การรักษาดังข้อที่ 1 ไม่ได้ผล แพทย์อาจพิจารณาให้ยาสเตียรอยด์ (เช่น เพร็ดนิโซโลน) กินระยะสั้น ๆ เพื่อลดการอักเสบ ยานี้แพทย์จะใช้เท่าที่จำเป็น เนื่องเพราะใช้พร่ำเพรื่อหรือนาน ๆ มีผลข้างเคียงมากและอาจเกิดอันตรายได้

ผลการรักษา ส่วนใหญ่มักจะหายได้เองใน 1-2 สัปดาห์โดยไม่ต้องใช้ยา (นอกจากยาบรรเทาปวดในรายที่ปวดมาก) แต่มักจะมีอาการกำเริบได้บ่อย โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนใด ๆ

ส่วนน้อยที่อาจมีความรุนแรง (ซึ่งการให้ยาบรรเทาอาการเพียงอย่างเดียวไม่ได้ผล) หรือมีโรค/ภาวะผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย ซึ่งจำเป็นต้องให้การรักษาควบคู่ไปด้วย

การดูแลตนเอง

1. ถ้ามีอาการเพียงเล็กน้อย หรือเคยรักษาแผลแอฟทัสมาก่อน และมีความมั่นใจในการดูแลตนเอง ควรปฏิบัติ ดังนี้

    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด
    หลีกเลี่ยงอาหารที่ระคายแผล เช่น อาหารเผ็ดหรือเปรี้ยวจัด อาหารแข็ง
    กลั้วปากด้วยน้ำเกลือ (ผสมเกลือ 1 ช้อนชา หรือ 5 มล. ในน้ำ 1 แก้ว) วันละ 2-3 ครั้ง
    ถ้าปวดให้อมน้ำแข็งก้อนเล็ก ๆ ดื่มน้ำเย็น
    ถ้าปวดมากให้กินพาราเซตามอล* และ/หรือใช้ยาป้ายแผลในปากตามที่แพทย์แนะนำ

ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีไข้สูง อ่อนล้า ซีด หรือน้ำหนักลดร่วมด้วย หรือมีอาการปวดท้องและท้องเดิน เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง
    ปวดแผลรุนแรง กินยาบรรเทาปวดไม่ได้ผล
    กินอาหารหรือดื่มน้ำไม่ได้ หรือมีภาวะขาดน้ำ
    แผลมีขนาดใหญ่ หรือขึ้นพร้อมกันหลายแผล
    มีอาการเรื้อรังเกิน 2 สัปดาห์ หรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย
    มีประวัติการแพ้ยา สตรีที่กำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร หรือมีโรคตับ โรคไต หรือประจำตัวอื่น ๆ ที่มีการใช้ยา หรือแพทย์นัดติดตามการรักษาอยู่เป็นประจำ
    หลังกินยา มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ
    ดูแลตนเอง 3-4 วันแล้วอาการปวดไม่ทุเลา
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

2. ถ้าสงสัยว่ามีอาการรุนแรง หรือไม่มั่นใจที่ดูแลตนเองตั้งแต่แรกควรไปพบแพทย์ เมื่อแพทย์วินิจฉัยว่าเป็นแผลแอฟทัส ควรดูแลตนเองดังนี้

    กินยาตามและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามการรักษาตามที่แพทย์นัด
    ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้าลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังนี้
    - กินอาหารหรือดื่มน้ำไม่ได้ หรือมีภาวะขาดน้ำ
    - ใช้ยาที่แพทย์แนะนำ 3-4 วันแล้วอาการปวดไม่ทุเลา หรือกลับมีอาการปวดมากขึ้น หรือมีไข้ขึ้น
    - มีอาการที่สงสัยว่าแพ้ยา เช่น ลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

*เพื่อความปลอดภัย ควรขอคำแนะนำวิธีและขนาดยาที่ใช้ ผลข้างเคียงของยา และข้อควรระวังในการใช้ยา จากแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาเสมอ โดยเฉพาะการใช้ยาในเด็ก สตรีที่ตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัวหรือมีการใช้ยาบางชนิดที่แพทย์สั่งใช้อยู่เป็นประจำ

การป้องกัน

ผู้ที่เคยเป็นแผลแอฟทัส ควรป้องกันไม่ให้แผลกำเริบบ่อยโดยปฏิบัติตัว ดังนี้

1. หมั่นออกกำลังกาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และผ่อนคลายความเครียด

2. กินอาหารให้ครบทุกหมู่ (ได้สารอาหาร วิตามิน และเกลือแร่ครบถ้วน) และกินผัก ผลไม้ และธัญพืชให้มาก ๆ

3. หลีกเลี่ยงอาหารที่แพ้หรือกระตุ้นให้เกิดแผลแอฟทัส

4. ดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟันให้สะอาด โดยการแปรงฟันหลังกินอาหารทุกครั้ง และใช้ไหมขัดฟันอย่างน้อยวันละครั้ง อย่าให้มีเศษอาหาร (ที่อาจกระตุ้นให้แผลกำเริบ) ค้างคา ควรใช้แปรงสีฟันขนาดเล็กและขนนุ่มเพื่อไม่ให้ปากถูกกระทบกระแทก

ควรไปตรวจช่องปากและฟันกับทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อดูแลรักษาฟันให้ดี (เช่น การแก้ไขฟันที่มีความแหลมคม การดูแลฟันปลอม) ไม่ให้เกิดการกระทบต่อช่องปากให้เกิดแผลแอฟทัส

5. ไม่ใช้ยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปากที่เจือปนสาร sodium lauryl sulfate หรือ sodium lauroyl sarcosinate

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ ไม่ใช่โรคติดต่อ สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ตามปกติ

2. ควรแยกแผลแอฟทัสออกจากเริมในช่องปากชนิดกำเริบซ้ำ ซึ่งมักจะขึ้นเป็นแผลเดียวที่เหงือกหรือเพดานแข็ง และอาจมีไข้ร่วมด้วย ทั้ง 2 โรคนี้สามารถให้การรักษาตามอาการก็หายได้เอง อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่แน่ใจควรหลีกเลี่ยงการใช้ครีมสเตียรอยด์ที่ใช้ป้ายแผลแอฟทัสในปาก เพราะถ้าเป็นเริมอาจทำให้โรคลุกลามได้

3. ในผู้หญิง แผลแอฟทัสมักกำเริบเวลามีประจำเดือน (ซึ่งอาจป้องกันได้ด้วยการกินยาเม็ดคุมกำเนิด) และขณะตั้งครรภ์มักจะไม่มีอาการกำเริบจนกว่าจะคลอด

4. ผู้ป่วยแผลแอฟทัสส่วนใหญ่มักมีอาการเพียงเล็กน้อย และหายได้เองใน 1-2 สัปดาห์ ซึ่งสามารถดูแลตนเองได้ อย่างไรก็ตาม ก็ควรเฝ้าสังเกตตัวเอง หากมีอาการผิดสังเกต รู้สึกมีอาการที่รุนแรง หรือรักษาตัวเองแล้วไม่ทุเลา ก็ควรไปพบแพทย์

5. ในรายที่เป็นแผลแอฟทัสใหญ่ (มากกว่า 1 ซม.) หรือเป็นรุนแรงหรือเรื้อรัง ควรตรวจหาสาเหตุ บางรายอาจพบร่วมกับโรคเอดส์ ภาวะเม็ดเลือดขาวต่ำ หรือโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD) ในรายที่เป็นแผลนานเกิน 3 สัปดาห์ อาจเป็นอาการแสดงของมะเร็งช่องปากระยะแรกก็ได้

6. ผู้ที่เป็นแผลแอฟทัสบ่อย บางรายอาจมีโรคภูมิต้านตนเอง (autoimmune diseases) เกิดขึ้นในเวลาต่อมาได้ เช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์ ข้อสันหลังอักเสบเรื้อรัง เอสแอลอี คอพอกเป็นพิษ เป็นต้น หากมีอาการผิดปกติ เช่น ใจสั่น เหนื่อยง่าย น้ำหนักลดฮวบ ไข้เรื้อรัง ปวดข้อนิ้วมือนิ้วเท้าเรื้อรัง ปวดหลังเรื้อรัง เป็นต้น ก็ควรไปพบแพทย์

11
จัดฟันเด็ก แก้อาการฟันแท้หาย เจ็บหรือไม่

เด็กหลายคนอาจจะมีความกลัวที่จะเข้ารับการตรวจฟัน ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะความกลัวเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้กับคนทุกวัยโดยเฉพาะในวัยเด็ก ไม่ว่าจะเป็นกลัวความเจ็บปวด กลัวคนแปลกหน้า ความกลัวกับสถานการณ์ ใหม่ๆ ที่ยังไม่เคยประสบมาก่อน ซึ่งสาเหตุของความกลัวนั้นบางครั้งยากที่จะอธิบาย แต่ปัจจัยที่อาจส่งผลให้เด็กเกิดความกลัวต่อหมอฟันหรือการรักษาทางทันตกรรมได้ เช่น ประสบการณ์การพบแพทย์ในอดีต โดยเฉพาะเด็กที่เจ็บป่วยต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลบ่อยๆ ก็อาจจะกลัวคนที่ใส่ชุดฟอร์มสีขาว หรือการที่เด็กได้ฟังคําบอกเล่าเรื่องประสบการณ์ที่ไม่ดีต่อการรักษาทางทันตกรรม ไม่ว่าจะเป็นจากเพื่อน ญาติพี่น้อง และสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่อาจคาดไม่ถึงก็คือความกลัวต่อการรักษาทางทันตกรรมของตัวพ่อแม่ผู้ปกครองเอง

ซึ่งเด็กอาจจะรับรู้ได้จากพฤติกรรมบางอย่าง หรือจากสีหน้าที่มีความกังวลที่พ่อแม่แสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว เป็นต้น ซึ่งนี่ก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เด้กกลัวการเข้ารับการรักษาทางทันตกรรม สำหรับสาเหตุอีกข้อหนึ่งที่ทำให้เด็กกลัวหมอฟันคือ กลัวความเจ็บปวด เพราะเด็กบางคนที่มีปัญหาในเรื่องฟัน และมีอาการปวดฟันบ่อยๆจะรู้สึกกลัวเวลาที่ต้องเข้ารับการรักษาทางทันตกรรม แต่ถ้าหากเด็กจำเป้นที่จะต้องเข้ารับการรักษาทางทันตกรรมด้วยการจัดฟันในเด็ก แต่ยิ่งถ้าเด็กมีปัญหาในเรื่องของฟันแท้หายหรือที่เราเรียกว่าฟันฝัง พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องพูดกับเด็กให้เข้าใจว่า เหตุใดเราต้องเข้ารับการจัดฟันในเด็ก หลายคนอาจจะยังมีความกังวลว่า การแก้ปัญหาฟันแท้หายด้วยการจัดฟันในเด็กนั้น เจ็บหรือไม่

 วันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงเรื่องของการจัดฟันในเด็กที่ช่วยแก้ไขปัญหาฟันหายว่าเจ็บหรือไม่ ต้องบอกก่อนว่า การจัดฟันในเด็ก เป็นการรักษาและแก้ไขความผิดปกติของฟันของเด็ก เพราะเด็กบางคนที่การขึ้นของฟันที่ผิดปกติหรือบางครั้งอาจจะมีอาการฟันแท้หาย สำหรับอาการฟันแท้หายหรือฟันฝังนั้น ฟันฝัง คือฟันที่ไม่ขึ้นเองตามธรรมชาติ มันถูกฝังอยู่ในกระดูกขากรรไกร โดยไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใด ไปชนกับฟันซี่ข้างเคียงเหมือนฟันคุด ฟันฝังมีได้ทั้งฟันหน้า ฟันเขี้ยว และฟันซี่อื่นๆ การรักษาฟันฝัง มีทั้งการดึงให้ขึ้น หรือผ่าทิ้ง สำหรับการแก้ไขอาการฟันแท้ขึ้นไม่ครบ ทันตแพทย์จัดฟันจะติดเครื่องมือจัดฟัน เพื่อเปิดช่องว่างให้ฟันแท้ขึ้น อาจถอนฟันน้ำนมบางซี่ที่ขวางทาง เพื่อเปิดช่องว่างให้ฟันแท้ขึ้น หรือใช้วิธีอื่นๆ ตามความเหมาะสม เมื่อมีพื้นที่มากพอ ก็มีโอกาสที่ฟันแท้จะขึ้นได้เองตามธรรมชาติ เมื่ออายุประมาณ 10-12 ปี

แต่หากอายุมากกว่านี้ โอกาสที่ฟันแท้จะขึ้นเอง ก็อาจมีน้อยลง  ดังนั้นการเข้ารับกาจัดฟันในเด็ก จึงสามารถแก้ไขปัญหาอาการฟันได้ และการรักษาอาการฟันหายนั้น ก็ไม่เจ็บอย่างที่คิด แต่การรักษาอาการฟันหายจะต้องมีการผ่าตัดเล็กเพื่อติดตั้งเครื่องมือที่ฟันที่ถูกฝังอยู่ในกระดูกขากรรไกร แต่จะไม่ทำให้รู้สึกเจ็บมาก ทันตแพทย์จัดฟันจะเริ่มให้แรง เพื่อเคลื่อนฟันฝังให้โผล่ขึ้นมา ในตำแหน่งที่ต้องการ ขั้นตอนนี้อาจใช้เวลาเป็นปี กว่าที่ฟันฝังจะเคลื่อนมาอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่พูดทำความเข้าใจกับเด็กเพื่อให้เห็นถึงความสำคัญในการรักษา เพื่อที่เด็กจะได้มีฟันที่สวยงาม สามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

หากพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดสนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิก เพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านทันตกรรมในเด็ก จึงสามารถให้ความรู้และคำปรึกษาเกี่ยวกับการดูแลรักษาความสะอาดและวิธีการปฏิบัติตัวขณะเข้ารับการจัดฟัน เพื่อที่จะได้มีผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพและสามารถใช้งานฟันได้อย่างเต็มที่ เพราะเราอยากให้เด็กๆทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีตั้งแต่ยังเด็ก เพื่อที่จะได้มีสุขภาพฟันที่ดีในอนาคต เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น

12
Mitsubishi Triton 2024: มิตซูบิชิ Mitsubishi Triton Athlete 2WD AT ปี 2023

MITSUBISHI TRITON Athlete 2WD AT ตัวถังดีไซน์ใหม่!เมกาเฟรม (Mega Frame) ใหญ่ขึ้น และแข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม เครื่องยนต์ใหม่ ไฮเปอร์เพาเวอร์ กำลังสูงสุด 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 470 นิวตันเมตร เทอร์โบแปรผัน VG Turbo ช่วงล่างใหม่ ความปลอดภัยขั้นสุด Diamond Sense เตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning: BSW) พร้อมระบบสัญญาณเตือนขณะเปลี่ยนเลน (Lane Change Assist: LCA) เตือนด้านหลังขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert: RCTA) กล้องมองรอบคัน 360 องศา ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (Forward Collision Mitigation system: FCM) ตรวจจับคนเดินถนน

***สเปคอย่างไม่เป็นทางการ พร้อมราคาประมาณการ***
รายละเอียดเบื้องต้น
  แบรนด์                     Mitsubishi
  รุ่น                          มิตซูบิชิ Mitsubishi Triton Athlete 2WD AT ปี 2023
  ประเภทรถ                 รถกระบะ 4 ประตู
  ปีที่เปิดตัว                  2023
  ราคา                       1,125,000 บาท

ดีไซน์
  ภายนอก

    ไฟหน้า LED
    ไฟตัดหมอก (LED)
    กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว (LED)
    ล้อแม็ก (18 นิ้ว)
    อุปกรณ์ชุดแต่ง (ภายนอก Athelete ตัวถังสีส้ม Yamabuki Orange Metallic)
    ไฟท้าย LED

  ภายใน

    ตกแต่งภายใน (ซาตินโครม,ภายใน Athelete)
    พวงมาลัยหุ้มหนัง
    อุปกรณ์ภายในอื่นๆ (หน้า USB-C / USB-A หลัง USB-C / USB-A)
    พวงมาลัยปรับสูง-ต่ำได้ (เข้า-ออก)
    เบาะคนขับปรับสูง-ต่ำได้
    กระจกมองหลังตัดแสง (อัตโนมัติ)

สเปค
  เครื่องยนต์             เครื่องยนต์คลีนดีเซลไฮเปอร์เพาเวอร์ (Hyper Power Engine) เทอร์โบแปรผัน VG Turbo กำลังสูงสุด 135 กิโลวัตต์ หรือ 204 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 470 นิวตันเมตร

  ขนาดเครื่องยนต์ (CC)              2,442 CC
  กำลังเครื่องยนต์ (แรงม้า)           204 แรงม้า
  ระบบเกียร์                              เกียร์ออโต้ 6AT
  รูปแบบเกียร์
  ระบบเบรค ABS                      มี (EBD/BA)
  ประเภทน้ำมันเชื้อเพลิง               ดีเซล, B7
  ความจุถังน้ำมัน (ลิตร)              75 ลิตร
  ระบบจ่ายน้ำมัน                       คอมมอนแรล
   น้ำหนักตัวรถ                           -
   ประเภทยางรถยนต์                    -
   ขนาดล้อ (นิ้ว)
   ระบบขับเคลื่อน                     ขับเคลื่อนล้อหลัง

ระบบความปลอดภัย ระบบความปลอดภัย
อุปกรณ์ความปลอดภัย   อุปกรณ์ความปลอดภัย

    ระบบควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ (ASC/TCL/Active Yaw Control: AYC)
    ตัวถังนิรภัย
    ระบบกระจายแรงเบรก EBD
    คานเหล็กเสริมนิรภัย
    อื่นๆ (ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (Forward Collision Mitigation system: FCM), เตือนจุดอับสายตา (Blind Spot Warning: BSW) พร้อมระบบสัญญาณเตือนขณะเปลี่ยนเลน (Lane Change Assist: LCA))
    กล้อง (มองรอบคัน)
    เทคโนโลยีตรวจจับวัตถุด้านหลังรถขณะถอย (Rear Cross Traffic Alert - RCTA)
    เทคโนโลยีช่วยการออกตัวบนทางลาดชัน HSA
    จุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก

13
การเตรียมตัว ก่อนให้อาหารสายยางทางหน้าท้อง !

การใส่สายยางให้อาหารทางหน้าท้อง เป็นการนำสายยางให้อาหารเจาะผ่านทางหน้าท้องเพื่อที่จะได้ให้อาหารผู้ป่วยได้ ซึ่งวิธีดังกล่าวเป็นการรักษาทางการแพทย์อย่างหนึ่ง และเป็นวิธีนี้ที่ง่าย สะดวก รวดเร็วและผู้ป่วยไม่ต้องเสี่ยงต่อการผ่าตัดใหญ่ เพราะขนาดแผลบริเวณหน้าท้องที่ทำการเจาะเพื่อนำสายยางให้อาหารเข้าไป จะยาวเพียง 0.5 เซนติเมตรเท่านั้น

ทั้งยังเป็นวิธีที่ให้อาหารโดยการส่งตรงไปยังกระเพาะอาหารเลย ซึ่งวิธีดังกล่าวผู้ป่วยจะได้ไม่ทรมาน หรือเจ็บปวดเวลาที่ต้องนำสายยางให้อาหารสอดเข้าผ่านรูจมูก และยังไม่ทำให้เกิดอาการระคายเคืองของอวัยวะต่างๆภายในที่สายยางให้อาหารผ่านเข้าไปด้วย อย่างไรก็ตามการให้อาหารทางสายยางนั้น จะต้องมีการเตรียมตัวทั้งผู้ป่วยและผู้ดูแล โดยผู้ดูแลจะต้องเตรียมเครื่องมือและอุปกรณ์ในการให้อาหารให้พร้อมและครบถ้วน ทำความสะอาดทุกครั้งก่อนการให้อาหารทางสายยาง ทั้งนี้ผู้ป่วยเองก็จะต้องเตรียมตัวเช่นเดียวกัน เพื่อให้มีความพร้อมและความปลอดภัยในการรักษาที่มีประสิทธิภาพ


โดผู้ป่วยจะต้องมีการเตรียมตัว โดยผู้ป่วยที่ต้องให้อาหารทางสายยางให้อาหารทางบริเวณหน้าท้องจะต้องงดอาหารและน้ำดื่มก่อนการให้อาหารทางสายยางประมาณ 6 -8 ชั่วโมง งดรับประทานยาละลายลิ่มเลือด เช่น Plavix Coumadin หรือ Aspirin เป็นเวลา 7 วันก่อนทำการใส่สายยางให้อาหารทางหน้าท้อง ซึ่งข้อห้ามดังกล่าวแพทย์หรือผู้ดูแลจะทำการแจ้งผู้ป่วยก่อนอยู่แล้ว รวมไปถึงจะมีการแจ้งรายละเอียดต่างให้ผู้ป่วยทราบก่อนทำการใส่สายยางให้อาหาร และขั้นตอนในการใส่สายยางให้อาหารทางหน้าท้องนั้น ผู้ป่วยจะได้รับยาชาโดยการอมและพ่นในคอ หรือบางกรณีอาจจะให้ยาสลบทางหลอดเลือดดำหรือการดมยาสลบ


ซึ่งจะขึ้นอยู่กับผู้ป่วยแล้วแต่กรณี แพทย์จะใส่กล้องส่องกระเพาะอาหารเข้าไปในปากผ่านหลอดอาหารสู่กระเพาะอาหาร และฉีดยาชาที่หน้าท้องเพื่อเจาะใส่สายให้อาหารซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 30 – 45 นาที ต่อมาหลังจากที่แพทย์ใส่สายยางให้อาหารผ่านทางหน้าท้องแล้ว ผู้ป่วยต้องงดอาหารประมาณ 1 – 3 วัน และเมื่อแผลที่ได้รับการเจาะกระเพาะอาหารสมานตัวกันดีแล้ว แพทย์จะเริ่มให้อาหารทางหน้าท้อง ซึ่งผู้ดูแลจะต้องคอยหมั่นสังเกตและดูแลรักษาความสะอาดของบาดแผลที่ได้ทำการเจาะให้สะอาดอยู่เสมอ เพราะไม่อย่างนั้นแผลอาจจะเกิดการอักเสบหรือติดเชื้อได้ ถึงแม้ว่าจะมีแผลที่เล็กมาก แต่ความสะอาดของผู้ป่วยและบาดแผล ควรได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด


โดยการทำความสะอาดแผลรูเปิดและใต้แป้นสายสวน ใช้น้ำยาเบตาดีน และปิดผ้าก๊อซปราศจากเชื้อ วันละ 2 ครั้ง (เช้า – เย็น) และควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ เมื่อแผลแห้งดีแล้ว ให้ใช้น้ำเกลือล้างแผล หรือ น้ำต้มสุก ทำความสะอาดแผลและใต้แป้นสายสวนให้สะอาด เช็ดให้แห้ง และปิดผ้าก๊อซไว้ หลังจากที่ใส่สายยางให้อาหารผ่านทางหน้าท้องและแผลสมานตัวกันดีแล้ว ในเรื่องของสายยางให้อาหารที่บริเวณหน้าท้องก็ต้องดูแลรักษาความสะอาดเช่นเดียวกัน ผู้ดูแลควรจะทำความสะอาดสายยางให้อาหารด้านนอกและข้อต่อด้วยสบู่และน้ำสะอาด ส่วนสายสวนชนิดระดับผิวหนังใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำสะอาดเช็ด ห้ามหักหรือพับงอสายให้อาหารนานเกินไป อาจทำให้สายแตกหักหรือพับงอ ทำให้เกิดการอุดตันได้


และกรณีใช้สายยางให้อาหารทางหน้าท้องชนิดลูกโป่ง ควรหมั่นตรวจสอบว่าตำแหน่งของสายที่ระดับผิวหนังอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง เนื่องจากสายอาจเลื่อนเข้าไปในกระเพาะมากเกินไป อาจจะส่งผลเสียต่อผู้ป่วยได้ ต้องดูแลให้ระดับบ่าท่อที่อยู่ทางหน้าท้องอยู่ที่ขีด 6 เซนติเมตร และควรหมุนตัวสายทุก 2 – 3 วัน เพื่อป้องกันการฝังตัวของหัวเปิดในช่องกระเพาะอาหาร และที่สำคัญไม่ควรใช้อาหารที่มีความร้อนเพราะจะทำให้อายุการใช้งานของสายยางลดน้อยลง ซึ่งปกติจะใช้ได้นาน 6 – 8 เดือน หากสายยางให้อาหารเกิดบวมหรือหมดสภาพแล้ว ผู้ดูแลควรเปลี่ยนสายยางให้อาหารทันที

14
หมอออนไลน์: ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia)

ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ หมายถึง ภาวะที่ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาล หรือกลูโคส (glucose) ในเลือดต่ำกว่าปกติ (ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำกว่า 50 มก./ดล.)

ถือเป็นภาวะที่ร้ายแรง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจเป็นอันตรายได้

สาเหตุ

อาจมีสาเหตุได้หลายอย่าง เช่น

1. พบหลังดื่มแอลกอฮอล์จัด อดข้าว มีไข้สูง หรือออกกำลังมากไป

2. ผู้ป่วยเบาหวานที่กำลังได้รับยาเบาหวาน บางครั้งกินอาหารน้อยไปหรือกินอาหารผิดเวลา หรือออกแรงกายมากไปกว่าที่เคยทำอยู่ หรือใช้ยาเกินขนาด ก็อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำได้ ผู้ป่วยที่กินยาเม็ดรักษาเบาหวานในตอนเช้า มักจะมีอาการตอนเช้ามืดของวันรุ่งขึ้น ส่วนผู้ป่วยที่ฉีดอินซูลินตอนเช้า มักจะมีอาการตอนบ่าย ๆ

3. พบในทารกแรกคลอดที่มารดาเป็นเบาหวาน หรือทารกมีน้ำหนักน้อย (ดู ภาวะชักในทารกแรกเกิด)

4. ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ บางรายก็อาจมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นครั้งคราวได้ เนื่องจากร่างกายมีการใช้น้ำตาลมากขึ้น

5. ผู้ป่วยที่ผ่าตัดกระเพาะอาหารออกไปแล้ว อาจเกิดภาวะนี้ได้บ่อย ๆ โดยมากจะเกิดหลังกินอาหาร 2-4 ชั่วโมง เนื่องจากลำไส้มีการดูดซึมน้ำตาลเร็วเกินไป ซึ่งจะไปกระตุ้นให้ตับอ่อนหลั่งอินซูลินออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง เรียกว่า “Dumping syndrome”

6. ถ้าเป็นอยู่บ่อย ๆ อาจมีสาเหตุจากโรคตับเรื้อรัง มะเร็งตับอ่อนชนิดอินซูลิโนมา (insulinoma) มะเร็งต่าง ๆ โรคแอดดิสัน เป็นต้น

อาการ

ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย ใจหวิว ใจสั่น มือสั่น เหงื่อออก รู้สึกหิว

บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะ ซึม กระสับกระส่าย พูดอ้อแอ้ แขนขาอ่อนแรง ปากชา มือชา พูดเพ้อ เอะอะโวยวาย ก้าวร้าว ลืมตัว หรือทำอะไรแปลก ๆ (คล้ายคนเมาเหล้า)

ถ้าเป็นรุนแรง อาจมีอาการชัก หมดสติ

ในรายที่เกิดจากการดื่มแอลกอฮอล์ ผู้ป่วยอาจมีอาการตัวเย็นชืด แขนขาเกร็ง ขากรรไกรแข็ง

ภาวะแทรกซ้อน

หากปล่อยให้หมดสติอยู่นาน หรือเป็นอยู่ซ้ำ ๆ จะทำให้สมองพิการ ความจำเสื่อม บุคลิกภาพเปลี่ยนไปจากเดิม วิกลจริต

บางรายอาจหลับไม่ตื่นเนื่องจากสมองพิการอย่างถาวร

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบดังนี้

เหงื่อออก มือเท้าเย็น อาจมีอาการชักหรือหมดสติ ชีพจรมักจะมีลักษณะเบาเร็ว บางรายอาจพบความดันเลือดต่ำ

รูม่านตามักจะมีขนาดปกติ และหดลงเมื่อถูกแสง

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดด้วยการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งจะพบว่าต่ำกว่าปกติ (มักจะพบต่ำกว่า 50 มก./ดล. ในรายที่เป็นมากอาจต่ำกว่า 20 มก./ดล.)

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ถ้าหมดสติ แพทย์จะให้ฉีดกลูโคสขนาด 50% จำนวน 50-100 มล. เข้าทางหลอดเลือดดำ หากผู้ป่วยฟื้นแล้ว แต่ยังกินไม่ค่อยได้ ก็จะให้เดกซ์โทรส 5% (5% D/W) เข้าทางหลอดเลือดดำจำนวน 500-1,000 มล.

2. ถ้าผู้ป่วยยังรู้สึกตัวและกินได้ แพทย์จะให้กินน้ำหวาน หรือกลูโคส

3. แพทย์จะตรวจหาสาเหตุ และให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

การดูแลตนเอง

ผู้ที่มีอาการอ่อนเพลีย วิงเวียน หน้ามืด ตาลาย ใจหวิว ใจสั่น มือสั่น เหงื่อออก รู้สึกหิว หรือสงสัยมีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (เช่น พบในผู้ที่กำลังรักษาโรคเบาหวาน อดข้าว หรือ ดื่มแอลกอฮอล์จัด) ควรรีบกินน้ำตาล ของหวาน หรือลูกอม หากทุเลาทันที ก็แสดงว่าเป็นภาวะนี้ ต่อไปควรหาทางป้องกันไม่ให้กำเริบอีก

ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่งดังต่อไปนี้

    มีอาการชัก ซึมมาก หรือหมดสติ
    กินน้ำตาล ของหวาน หรือลูกอมแล้วไม่ทุเลา
    เป็น ๆ หาย ๆ บ่อย
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

การป้องกัน

    ผู้ป่วยเบาหวานที่ใช้ยาเบาหวานรักษา ต้องปรับอาหารการกินและการออกกำลังกาย (การใช้แรงกาย) ให้พอเหมาะ อย่าอดอาหาร อย่ากินอาหารผิดเวลา อย่าใช้แรงกายหักโหมหรือหนักกว่าที่เคยทำ ข้อสำคัญอย่าใช้ยาเกินขนาดที่แพทย์สั่ง และพกน้ำตาล ของหวานหรือลูกอมติดตัวไว้แก้ไขเมื่อเริ่มรู้สึกมีอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ
    หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์จัด
    กินอาหารให้ตรงเวลา อย่าอดข้าว ถ้ารู้สึกหิว ควรรีบกินอาหาร ของหวาน หรือดื่มนม หรือน้ำหวาน

ข้อแนะนำ

1. ผู้ป่วยที่มีอาการที่ชวนสงสัยว่าเป็นภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ถ้ายังรู้สึกตัวดี ควรรีบกินน้ำตาล น้ำหวาน หรือของหวาน ๆ ทันที ซึ่งจะช่วยให้อาการต่าง ๆ ทุเลาลงทันที โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยเบาหวานที่ได้รับยารักษาเบาหวานอยู่ ควรพกน้ำตาลติดตัวไว้กินทุกครั้งที่เริ่มรู้สึกมีอาการ

แต่ถ้าหมดสติ ห้ามกรอกน้ำตาลหรือน้ำหวานเข้าปากผู้ป่วย อาจทำให้สำลักลงปอดได้ ควรรีบนำไปยังสถานพยาบาลที่อยู่ใกล้บ้านที่สุด เพื่อฉีดกลูโคสเข้าหลอดเลือดดำ

2. ผู้ป่วยที่มีภาวะนี้บ่อย ๆ ควรบอกให้ญาติและเพื่อนใกล้ชิดทราบ เพื่อจะได้หาทางแก้ไขได้ทันท่วงทีหากปล่อยไว้จนหมดสติหรือชักนาน ๆ อาจทำให้สมองพิการได้

3. ในรายที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำบ่อย ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด ควรให้แพทย์ตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด

4. ผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อเบาหวาน (มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงผิดปกติ แต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นเบาหวาน) บางรายอาจเกิดอาการของภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำในช่วงหลังกินอาหาร 2-4 ชั่วโมงได้บ่อย (ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำลักษณะนี้ เรียกว่า “Reactive hypoglycemia”) และอาจกลายเป็นเบาหวานในระยะอีกหลายปีต่อมา ดังนั้นผู้ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำบ่อย ๆ และตรวจพบว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงสูงต่อเบาหวานก็ควรควบคุมอาหาร ออกกำลังกาย และควบคุมน้ำหนัก เพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นเบาหวาน

15
motor show: มิตซูบิชิจัดทัพสุดยอดยานยนต์ล้ำสมัย พร้อมจัดเต็มข้อเสนอสุดพิเศษ

มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย ขนทัพสุดยอดยนตรกรรมรุ่นใหม่ล่าสุด พร้อมด้วยข้อเสนอสุดพิเศษ ณ งาน BIG MOTOR SALE 2024 ตอบโจทย์ครบทุกความต้องการของลูกค้าด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม นำโดย มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี และ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี และครั้งแรกของการจัดแสดง มิตซูบิชิ ไทรทัน แบล็ก เอดิชัน รุ่นพิเศษ จำนวนจำกัด

 ร่วมด้วยรถแข่ง มิตซูบิชิ ไทรทัน แรลลี่คาร์ ที่เพิ่งกลับมาจากสนามแข่งสุดหฤโหด เอเชีย ครอสคันทรี แรลลี่ 2024 หรือ เอเอ็กซ์ซีอาร์ 2024

    มร. เรียวอิจิ อินาบะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประเทศไทย กล่าวว่า “รถยนต์ของเราทุกรุ่นได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย พร้อมหลอมรวมความเป็นมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ซึ่งเน้นมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เหนือกว่าด้วยเอกลักษณ์เฉพาะตัว สมรรถนะอันยอดเยี่ยม ความแข็งแกร่งทนทาน ความปลอดภัยและความสะดวกสบาย รวมถึงความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยภายในงานนี้ นอกเหนือจากการนำเสนอรถยนต์ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์แล้ว เรายังมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับรถยนต์ทุกรุ่นอีกด้วย”

 นายสาโรจน์ มะอาจเลิศ กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ สายงานขายและบริการหลังการขาย บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด

 สุดยอดยนตรกรรมที่จัดแสดงภายในงานนี้ นำโดย มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี และ มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี รถยนต์ครอบครัวอเนกประสงค์ 7 ที่นั่งขนาดเล็ก พร้อมระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด รุ่นแรกในไทย ที่มอบประสบการณ์การขับขี่เหนือระดับ เต็มเปี่ยมด้วยพลังและมั่นใจในทุกเส้นทาง ด้วย Mitsubishi e:MOTION ที่ผสานระบบขับเคลื่อนฟูลไฮบริด เพื่อการขับขี่ที่ตอบสนองยอดเยี่ยมและประหยัดน้ำมัน โหมดการขับขี่ 7 รูปแบบ ให้ความปลอดภัย ลุยได้ในทุกสภาพถนน และระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) เพื่อการขับขี่ที่มั่นใจสูงสุดขณะเข้าโค้ง

 มิตซูบิชิ เอ็กซ์แพนเดอร์ เอชอีวี และ เอ็กซ์แพนเดอร์ ครอส เอชอีวี มีการออกแบบภายนอกสไตล์รถอเนกประสงค์เอสยูวีที่ทันสมัย พร้อมด้วยห้องโดยสารที่กว้างขวางและสะดวกสบาย ติดตั้งเบาะหนังสังเคราะห์ พร้อมคุณสมบัติสะท้อนความร้อน (Heat Guard) ระบบล็อกความเร็วบนพวงมาลัย (Cruise Control) หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่แบบ LCD ขนาด 8 นิ้ว และระบบเกียร์ไฟฟ้า รถยนต์สองรุ่นนี้ผลิตในประเทศไทยด้วยมาตรฐานคุณภาพสูงสุดที่สร้างความเชื่อมั่นได้อย่างเต็มที่ ลูกค้าที่ซื้อรถยนต์สองรุ่นนี้ภายในงาน จะได้รับข้อเสนออัตราดอกเบี้ย 0%* และฟรีแพ็กเกจ MITSUBISHI XTRA CARE ซึ่งครอบคลุมการรับประกันแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี ไม่จำกัดระยะทาง เพื่อความอุ่นใจตลอดการใช้งาน

 อีกหนึ่งไฮไลต์คือ มิตซูบิชิ ไทรทัน แบล็ก เอดิชัน รุ่นพิเศษ จำนวนจำกัด สะดุดตาด้วยการตกแต่งภายนอกสีดำสุดเท่ ประกอบด้วยล้ออัลลอยสีดำขนาด 18 นิ้ว ไดนามิก ชีลด์และกรอบไฟตัดหมอกสีดำเงา กระจกมองข้างสีดำเงา มือเปิดประตูด้านนอกสีดำเงา มือเปิดกระบะท้ายสีดำเงา บันไดข้างตกแต่งสีไทเทเนียมรมดำ และกันชนหลังสีดำตกแต่งด้วยสีไทเทเนียมรมดำ ระบบขับเคลื่อนโดยเครื่องยนต์ไฮเปอร์ พาวเวอร์ (Hyper Power) คลีนดีเซลเทอร์โบที่มีกำลังสูงสุด 184 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ทำให้มีอัตราเร่งที่ยอดเยี่ยมและประหยัดน้ำมันที่ 14.5 กม./ลิตร มีระบบความปลอดภัยเต็มรูปแบบ Diamond Sense

 ด้วยราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ 1,027,000 บาท ซึ่งเป็นราคาเดียวกันกับรถไทรทัน ดับเบิ้ลแค็บ ยกสูง เกียร์อัตโนมัติ  รุ่น อัลตร้า มิตซูบิชิ ไทรทัน แบล็ก เอดิชัน เพียบพร้อมและครบครันในด้านความสะดวกสบายและความหรูหราระดับสูงสุด มอบประสบการณ์การขับขี่แบบรถเอสยูวี มีการควบคุมที่ยอดเยี่ยมและไว้วางใจได้ในทุกเส้นทาง ผสานช่วงล่างใหม่และแชสซีส์เมกาเฟรมใหม่ที่ใหญ่ขึ้นและแข็งแรงขึ้น พร้อมหน้าจอขนาด 9 นิ้วที่รองรับได้ทั้ง Apple CarPlay ที่พร้อมเชื่อมต่อแบบไร้สาย และ Android Auto เหมาะสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันและการผจญภัยในวันหยุดสุดสัปดาห์

  อีกหนึ่งที่สุดแห่งยนตรกรรมที่ไม่ควรพลาดคือ มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ไฮเปอร์ พาวเวอร์ เอ็กซ์ทู (Hyper Power X2) พละกำลังสูงสุด 204 แรงม้า และมีแรงบิดสูงสุด 470 นิวตันเมตร ที่ 1,500 - 2,750 รอบต่อนาที ห้องโดยสารมอบความสะดวกสบายสูงสุดและการตกแต่งทูโทนสีส้ม-ดำ รูปลักษณ์โดดเด่นพร้อมสะกดทุกสายตาและตอบสนองไลฟ์สไตล์การผจญภัยที่สมบูรณ์แบบ เหนือกว่าด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ Diamond Sense ของมิตซูบิชิ  พร้อมระบบพวงมาลัยเพาเวอร์แบบไฟฟ้า (Electric Power Steering: EPS) ช่วยให้ขับขี่คล่องตัว ควบคุมได้ดังใจ

 มิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท ยังโดดเด่นด้วยระบบขับเคลื่อน ซูเปอร์ซีเล็คต์ โฟร์วีลไดร์ฟ ทู (Super Select 4WD II) ที่มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อฟูลไทม์ (Full-Time All Wheel Control) อันเป็นเอกลักษณ์ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส แตกต่างอย่างเหนือกว่าด้วยระบบควบคุมการขับเคลื่อนและสมดุลขณะเข้าโค้ง (Active Yaw Control: AYC) เสริมความปลอดภัยให้ขับขี่คล่องตัวพร้อมตะลุยทุกสภาพอากาศและพื้นผิวถนนทุกรูปแบบ และยังได้รับการติดตั้งเทคโนโลยีมิตซูบิชิ คอนเนค (MITSUBISHI CONNECT) ซึ่งรองรับการเชื่อมต่อผ่านแอปพลิเคชัน “My MITSUBISHI CONNECT” เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกในการสั่งการตัวรถแบบไร้สายได้จากระยะไกล ใช้งานง่าย ลูกค้าที่ซื้อมิตซูบิชิ ไทรทัน แอทลีท และมิตซูบิชิ ไทรทัน แบล็ก เอดิชัน จะได้รับข้อเสนออัตราดอกเบี้ยพิเศษ 0.89%* พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษในรอบปี สำหรับลูกค้าภายในงานนี้เท่านั้น!

 อีกหนึ่งรุ่นที่น่าจับตามองคือ มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต รุ่นปี 2024 รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ Elite Edition มาพร้อมล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว และคุณสมบัติระดับพรีเมียม เครื่องยนต์ไฮเปอร์ พาวเวอร์ ใหม่ ที่มีกำลัง 184 แรงม้า ทรงพลังและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมด้วยมาตรฐานไอเสียระดับยูโร 5 (Euro 5) ประหยัดน้ำมันที่ 14.3 กม./ลิตร พร้อมระบบขับเคลื่อน ซูเปอร์ซีเล็คต์ โฟร์วีลไดร์ฟ ทู (Super Select 4WD II) เอกลักษณ์เฉพาะของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ซึ่งสามารถเปลี่ยนโหมดระหว่างการขับเคลื่อน 2 ล้อและการขับเคลื่อน 4 ล้อได้ทันที (Shift-on-the-Fly) แม้ในขณะขับขี่ด้วยความเร็ว

 รูปลักษณ์ภายนอกโดดเด่นสะดุดตาด้วยกระจังหน้าและแผงกันชนดีไซน์ใหม่ ภายในห้องโดยสารยกระดับความสะดวกสบายและความสปอร์ตด้วยการตกแต่งใหม่แบบสีทูโทน ดำ-แดงเบอร์กันดี จอแสดงผลการขับขี่ใหม่ และเทคโนโลยีความปลอดภัยรอบคัน Diamond Sense อันล้ำสมัย มิตซูบิชิ ปาเจโร สปอร์ต รุ่นปี 2024 รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ Elite Edition มาพร้อมข้อเสนออัตราดอกเบี้ยพิเศษ 1.09%*

 ปิดท้ายด้วย มิตซูบิชิ แอททราจ สมาร์ท รถอีโคคาร์ยอดนิยมที่ได้รับการยอมรับในด้านความคุ้มค่าและไว้วางใจ โดดเด่นด้วยความประหยัดน้ำมันที่ยอดเยี่ยมและการขับขี่ที่สะดวกสบายคล่องตัว ติดตั้งเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ครบครัน ได้แก่ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็วที่ความเร็วต่ำ (Forward Collision Mitigation System-Low Speed Range: FCM -LS) ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ เมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว (เฉพาะด้านหน้า) Radar Sensing Misacceleration Mitigation System-FORWARD: RMS-FORWARD และระบบล็อกความเร็วบนพวงมาลัย (Cruise Control) ที่ทำให้การขับขี่มีความมั่นใจและปลอดภัย โดยลูกค้าที่ซื้อรถรุ่นนี้ภายในงานนี้จะได้รับข้อเสนออัตราดอกเบี้ยพิเศษ 0%*

 เพื่อมอบความอุ่นใจในการเป็นเจ้าของรถมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ลูกค้าที่ซื้อรถยนต์ทุกรุ่นจะได้รับประกันภัยชั้นหนึ่งฟรี 1 ปี พร้อมด้วยการรับประกันคุณภาพรถใหม่ นาน 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร ฟรีค่าแรงเช็กระยะ  และสามารถเลือกรับแพ็กเกจบำรุงรักษาตามระยะ ค่าอะไหล่ และเคมีภัณฑ์ รวมถึงบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง นาน 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร หรือเลือกรับเป็นส่วนลดเงินสด*

หน้า: [1] 2 3 ... 32
Tage: โฟสฟรี ประกาศฟรี ลงโฆษณาฟรี google โพสต์ฟรี ลงประกาศขายบ้านฟรี ลงประกาศขายบ้าน ลงประกาศขายที่ดินฟรี ลงประกาศขายคอนโดฟรี ประกาศฟรี ขายฟรี ขายรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหารเสริม เครื่องสำอางค์ สถานที่ท่องเที่ยว เว็บประกาศฟรี ติดอันดับ Google